Part 5 : Perfect Match

ข้อมูลจัดลำดับไว้แล้ว 1 ถึง 6 ไม่ควรอ่านข้าม
All of these articles should not be read across articles.

    ตอนนี้ทุกคนก็มาถึงบทที่ยากที่สุดกันแล้วครับ เป็นบทที่จะอธิบายหลักการและขั้นตอนต่างๆว่าเนิร์ฟและเซเล่ใช้วิธีการใดในการทำให้อีวากลายเป็นตัวแทนของอดัมและลิลิธ เพื่อเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ซึ่งทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่า พิธีกรรม(impact)ที่สมบูรณ์ตามแบบฉบับของเซเล่นั้น จะต้องประกอบไปด้วย 3 อย่าง 1.ผู้ทำพิธี 2.อุปกรณ์ 3.ผู้ถูกสังเวย ดังนั้นผู้ทำพิธีจึงต้องเป็นตัวตนที่สมบูรณ์เช่นกัน

คำถาม : ความสมบูรณของ "คน" นั่นคืออะไร ต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง คำตอบคือ 
  • ร่างกาย,ภาชนะ (Vessel)
  • จิตใจ,วิญญาณ (Soul)
สองสิ่งนี้คือส่วนสำคัญที่จะอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะหลักการและวิทยาการส่วนใหญ่ในเรื่องเกี่ยวข้องกับสองสิ่งนี้ล้วนๆ 
   เลือดเนื้อคือกายหยาบที่มองเห็นได้ด้วยตาและวิญญาณคือกายละเอียดของดวงจิตที่อยู่ภายใน ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนร่างกายของคนเรา หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปเท่ากับว่า คนๆนั้นจะไม่ใช่คนที่สมบูรณ์ และหุ่นอีวาเกเลี่ยนก็ทำงานด้วยระบบนี้เช่นกัน ดังนั้นความสมบูรณ์ของอีวาที่จะเป็นตัวแทนของอดัมและลิลิธจึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 2 อย่างนี้คือ ร่างและวิญญาณของอดัมและลิลิธแท้จริง คำว่า "แท้" ในที่นี้หมายถึงกายและใจดั้งเดิมของมันจริงๆที่กลับมารวมกันอีกครั้ง ไม่ใช่สำเนาที่ถูกโคลนนิ่งมาอย่างเช่นอีวาและนักบินทั้งหลาย
  • ความสมบูรณ์ของลิลิธ PerfectAdam ที่แท้จริง
    • Adam Vessel กายของอดัม คือ ร่างเนื้อของอดัม
      • กายเนื้อถูกดัดแปลงเป็นอีวา 06
    • Adam Soul วิญญาณของอดัม คือ นางิสะ คาโอรุ
  • ความสมบูรณ์ของลิลิธ PerfectLilith ที่แท้จริง
    • Lilith Vessel กายเนื้อของลิลิธ คือ ร่างเนื้อของลิลิธ
      • กายเนื้อของลิลิธหายไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งผมจะอธิบายว่าหายไปไหนตอนหลัง
    • Lilith Soul วิญญาณของลิลิธ คือ อายานามิ เรย์
  • กายและวิญญาณจะผูกติดกันด้วย แกนกลาง (Core)
    • core คือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวกายและใจเอาไว้ หาก core ถูกทำลายจะเท่ากับว่าภาชนะใบนั้น จะไม่มีสิ่งที่เอาไว้ประกบสองสิ่งนี้เข้าไว้ด้วยกัน จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเมื่อ core ถูกทำลายเทวทูตถึงตาย
   ส่วนประกอบที่ทำให้ทั้งสองคนสมบูรณ์ คือสิ่งที่เซเล่ต้องการสำหรับสร้างผู้ทำพิธี แต่สิ่งที่อยู่นอกแผนของเซเล่คือ อิคาริ เก็นโด ที่พยายามทำให้ อีวาตัวอื่นตื่นขึ้น ตามแผนของตัวเองเหมือนกันด้วยการนำกายและจิตไปใส่ในอีวาตัวนั้นๆ นี่คือข้อผิดพลาดของเซเล่ในช่วงภาค 1.0-2.0 ที่ให้สิทธิเก็นโดควบคุมเนิร์ฟมากเกินไป 

   ดังนั้นแผนการที่จะรวมพระเจ้าสองคนนี้เป็นหนึ่งเดียวกันจึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนสักเท่าไรเพราะกายเนื้อและกายจิตของถูกแบ่งแยกกัน เช่นเก็นโดมีรางเนื้อลิลิธและวิญญาณ เซเล่มีร่างเนื้ออดัมและวิญญาณ ทั้งสองจึงเหมือนกำลังแย่งชิงความได้เปรียบกันอยู่ แต่สุดท้ายทั้งสองฝั่งก็กลับมาร่วมมืออีกครั้งในภาค 3.0 และมันมีรายละเอียดที่ยิบย่อยเอามากๆ ผมจึงขอเกริ่นความสำคัญของผู้ทำพิธีไว้พอสังเขปเท่านี้ก่อน และเราจะไปเริ่มต้นกันที่กระบวนการตื่นขึ้นของอีวาเป็นอันดับแรก ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับความสมบูรณ์ของทั้ง Vessel และ Soul ที่เราพูดถึงด้วยนั่นเองครับ

กายละเอียดและกายหยาบ

วันหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสถามเหล่าเทวดาว่า
“เราควรจะเก็บซ่อนความลับแห่งชีวิตไว้ที่ใดดี”
เหล่าเทพตอบว่า “ซ่อนให้ลึกลงไปใต้พื้นโลกดีหรือไม่ ?”
พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า “ไม่ได้ เพราะนั่นคือที่แห่งแรกที่มนุษย์จะไปค้นหา”
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ซ่อนลงไปใต้ทะเล เหล่าเทพเสนอ
“ก็จะใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีกนิด แต่พวกเขาก็จะหาเจอในที่สุด” พระผู้เป็นเจ้าตอบ
เช่นนั้นก็ซ่อนไว้ที่ยอดเขาสูงเถิด
“ไม่ได้ พวกเขาก็จะพยายามปีนขึ้นไปจนถึงยอดเขา”
แล้วถ้าซ่อนไว้ในดวงดาวอันไกลโพ้นหละ
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะตั้งความปรารถนาไปให้ถึง และประสบผลในที่สุด”
ได้ฟังเช่นนั้น เหล่าเทพก็จนด้วยปัญญา มิทราบจะเสนอความคิดใดได้อีก
ทันใดนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสว่า

เรารู้แล้ว ว่าควรจะซ่อนไว้ที่ใด ในสถานที่ที่มนุษย์ไม่มีวันคิดจะไปค้นหา
เราจะซ่อนไว้ในกายของมนุษย์เอง…..

ว่ากันว่าคนเรานั้นไม่ได้มีร่างกายเพียงแค่ร่างเดียว แต่ถูกแบ่งออกเป็นสอง คือ  

กายหยาบ Physical body คือ กายที่สัมผัสได้
กายละเอียด Subtle body คือ กายแห่งจิตที่สถิตอยู่ภายใน

กายหยาบนั้นคือร่างกายที่เราใช้ขยับไปมา ใช้สัมผัสรับรู้และตอบสนอง ส่วนกายจิตนั้นยากที่จะเข้าถึงเพราะเป็นพลังงานที่หลับไหล ซึ่งเรียกว่า พลังกุณฑาลินี 
  Kundalini กุณฑาลิณี พลังงูไฟ เป็นพลังงานชีวิต หรือ พลังงานทางจิตวิญญาณซึ่งนอนหลับไหลอยู่เฉยๆภายในร่างกายของเรา ตรงบริเวณฐานของกระดูกสันหลัง กุลฑ มาจากคำภาษาสันสกฤตที่มีความหมายว่า เกลียว หรือ ขดเหมือนงู พลังงานนี้สามารถทำให้ตื่นขึ้นได้ด้วยการฝึก เช่น โยคะ นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ เป็นต้น เมื่อตื่นขึ้นพลังงานจะพุ่งสูงขึ้น ผ่านตำแหน่งของจักระต่างๆสู่เหนือกะหม่อม ช่วยให้บรรลุถึงพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมต่อสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า 

Kundalini Shakti

  • ช่องทางในร่างกายที่มี 3 ช่อง ภาษาสันสกฤต เรืยกว่า นาฑี Nadis
  • ช่องทางซ้าย เรียกว่า อิทะ นาฑี ida
    • อิทะ คือพลังงานทางซ้าย
    • เรียกอีกอย่างว่า chandra
    • ในภาษาสันสกฤต คือ เทพฮินดูแห่งจันทรา
    • เป็นพลังงานทางจันทรคติ
  • ช่องทางขวา เรียกว่า บิงคละ นาฑี Pinggala
    • บิงคละนาฑี  ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า Surya 
    • หมายถึง Sun พระอาทิตย์
    • บิงคละนาฑี  คือ จมูกขวา
  • ตรงกลางเป็นช่องไขสันหลัง เรียกว่า สุษุมนะ นาฑี Sushumna อันเป็นช่องทางที่พลังงานกุณฑาลิณี (งูไฟ) ปรับเลื่อนขึ้นมา ผ่าน 7 จักระ
    • ช่องทางของผู้ปลุกพลัง เพื่อขึ้นไปสู่การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
    • บางทีก็เรียกช่องทางนี้ว่า Saraswati ซึ่งเป็นเทพฮินดูแห่งปัญญา และการเรียกรู้
  • กุณฑาลินี มีลักษณะเหมือนเส้นสายที่เชื่อมต่อกันในทุกชิ้นส่วนของเครื่องไฟฟ้า ซึ่งเชื่อมโยงเครื่องจักรเข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหลัก
   กุณฑาลินีเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ ที่อ้างอิงกระบวนการทำงานจากอวัยวะภายใน เมื่อภายในสมบูรณ์ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก พลังนี้สามารถปลุกขึ้นได้ด้วยการฝึกสมาธิตามหลักของ สหจะโยคะ เป็นรูปแบบง่ายๆรูปแบบหนึ่งของการฝึกสมาธิ ค้นพบโดยท่านศรีมาตาจี นิรมาลา เทวี ซึ่งได้รับการยกย่องในปัจจุบันนี้ว่า เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของโลก "สหจะ" (สหัช) หมายถึง สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด การเป็นไปโดยธรรมชาติ "โยคะ" หมายถึง การรวมเป็นหนึ่งกับพลังศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ทุกคนต่างเกิดมาพร้อมกับกลไกอันละเอียดอ่อนภายใน หากกลไกเหล่านี้ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น ก็จะมอบ "สหจะโยคะ" การรวมเป็นหนึ่งกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นไปโดยธรรมชาติ" ให้กับผู้นั้น ประสบการณ์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "การตระหนักรู้ในตนเอง"
โดยทั่วไปแล้วภาพของกุลฑาลินีตามอินเตอร์เน็ทจะเป็นภาพแบบ หันหน้าเข้าหาคนดู ดังนั้นด้านซ้ายจะเป็นขวา และขวาจะเป็นซ้าย (ภาพ gif )
แต่ภาพที่อยู่ในหนังสือเดดซี จะเป็นภาพแบบ “กระจกเงาสะท้อน” ดังนั้นซ้ายจะตรงกับซ้ายมือของเรา (สังเกตสีน้ำเงิน)
   ภาพด้านบนคืออีกปริศนาหนึ่งที่ผมไม่ได้เฉลยในม้วนหนังสือเดดซี เพราะอยากรวมเนื้อหาที่เกี่ยวกับ กุณฑาลินี ไว้ในพาทนี้ให้หมด ซึ่งเมื่อลองเปรียบเทียบพลังงานกุณฑาลิณีกับเส้นทางสู่การเป็นพระเจ้าของต้นไม้แห่งชีวิต เราจะเห็นว่ามันมีความคล้ายคลึงกันในด้านของการบรรลุสู่พลังอันลึกลับ พลังของพระเจ้า หรือ ที่ในเรื่องเรียกว่า การลืมตาตื่น (Awakening) หรือการเปิดจักระที่ 6 อาชญา The Third Eye Chakra (ดวงตาที่สาม)

ในตอนท้า่ยของภาค 2.0 เราจะเห็นว่าอีวา 01 นั้นมี 3 ตา เพราะลืมตาตื่นได้สำเร็จ

จักระตามหลักโยคะศาสตร์

ทางวิทยาศาสตร์ร่างกายของคนเราถูก ควบคุมด้วยต่อมต่างๆ ที่เรียกว่า ต่อมไร้ท่อ โดยต่อมไร้ท่อจะส่งสารทางเคมีที่เรียกว่า ฮอร์โมน ไปสู่กระแสเลือดและน้ำเหลืองโดยไม่ต้องผ่านท่อส่งสารฮอร์โมนมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกายเป็นอย่างมาก เช่นระบบการเจริญเติบโต การย่อยอาหาร ระดับพลังงานภายในร่างกาย เรื่องทางเพศ รวมถึงการรักษาระดับน้ำและของเหลวในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นเมื่อพลังงานกุลฑาลินีพุ่งผ่านจักระต่างๆที่มีช่องทางเหล่านี้ มันจึงเป็นเหมือนกับการกระตุ้นให้แต่ละอวัยะของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกอันสุขล้นออกมาจากภายใน

   ในระหว่างที่พลังงานกุณฑาลิณีวิ่งขึ้นมาตามลำดับจักระ ในแต่ละจุดของจักระเองก็จะส่งพลังงานเหล่านี้แผ่ซ่านออกมานอกกายหยาบเรียกว่า "ออร่า" ซึ่งมันแสดงถึงความสมบูรณ์ของร่างกายที่เชื่อมต่อกับจิตที่อยู่ภายใน โดยมีชื่อเรียกทั้งหมด 7 ร่าง ตามลิงค์และภาพด้านล่างครับ

หมายเหตุ : ชื่อจักระและออร่าแบบอังกฤษจะมีบางอันใช้ชื่อไม่เหมือนกัน
   จากที่ลองค้นหาเพิ่มเติมผมได้พบว่ามีการตีความบางส่วนที่สื่อให้เห็นว่า จักระและต้นไม้แห่งชีวิตนั้นมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ภายในร่างกาย นั่นคือ กระดูกสันหลัง 

สรุป

   กุณฑาลินีเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ ที่อ้างอิงกระบวนการทำงานจากอวัยวะภายใน เมื่อภายในสมบูรณ์ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอกร่างกาย  พูดแบบเข้าใจง่ายๆเลยคือ "จิตใจมีผลกระทบต่อร่างกายและร่างกายก็มีผลกระทบต่อจิตใจ"  การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่สมบูรณ์ย่อมทำให้คนๆนั้นไม่สามารถแสดงสมรรถภาพของตัวเองออกมาได้เต็มร้อยเปอร์เซ็น ดังนั้นทั้งสองอย่าง "กายและจิตใจ จะต้องพัฒนาควบคู่กันไปเสมอ" 

Vessel และ Soul

  เมื่อนำศาสตร์ของโยคะมาเปรียบเทียบกับระบบการทำงานของอีวา เราก็จะเห็นสิ่งที่เหมือนกันดังนี้ครับ 
  • Physical body กายหยาบ คือ กายภายนอก ที่หมายถึง ร่างเนื้อของอีวา (Vessel)
  • Subtle body กายละเอียด คือ กายภายใน ที่หมายถึง นักบิน (Soul)
  • Kundalini กุณฑาลิณี คือ การปลุกพลังที่หลับไหล ที่หมายถึง การลืมตาตื่น (Awakening)
VesselคนSoul
Physical bodyคนSubtle body
ร่ายกายของอีวาอีวานักบิน

ระบบการทำงานอีวา – รุ่นเก่า

  หากจำได้ในพาทที่ 2 ผมได้อธิบายถึงการทำงานต่างของอีวาไปแล้ว แต่ในพาทนี้ผมจะเพิ่มรายละเอียดเชิงลึกต่างๆเข้าไปมากกว่าเดิม เพื่อใช้มันเป็นบรรทัดฐานในวิเคราะห์ระบบการทำงานของอีวาแบบจริงจังต่อจากนี้
   ระบบการขับอีวารุ่นแรกเริ่มถูกพัฒนาโดยอิคาริ ยูอิ ด้วยการใช้ตัวเองเป็นหนูทดลอง ซึ่งเป็นรุ่นที่ยังต้องการนักบินที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาขับอยู่
  • รุ่นเก่า – ก่อนเหตุการณ์ภาค 1.0
    • อีวาเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา มันจึงเป็นภาชนะที่ว่างเปล่าและไม่มีวิญญาณอยู่ภายใน
    • การจะขยับร่างกายนี้ได้จึงต้องมีระบบควบคุมให้คนขับออกคำสั่ง
    • ระบบควบคุมที่ว่าไม่ได้หมายถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ติดตั้งเข้าไปในอีวา แต่มันคือ วิญญาณ
    • เพื่อให้อีวาตัวนั้นมีดวงวิญญาณอยู่จึงต้องมีใครสักคนถูกสังเวย หรือ เสียสละตัวเอง เข้าไปอยู่ใน Core ของอีวาและใช้ดวงวิญญาณนั้นเป็นสื่อกลางให้นักบินเชื่อมต่อ และสั่งการร่างกายของอีวาอีกที ยกตัวอย่าง ชินจิและยูอิในอยู่ใน Core ของอีวา 01
    • ผมขอเรียกวิญญาณของคนที่กลายเป็นระบบควบคุมนี้ว่า วิญญาณหลัก
    • การซิงโครไนซ์ของนักบินและอีวา จึงหมายถึง การประสานกันของนักบินและวิญญาณหลัก
    • อัตราซิงโครไนซ์จึงเป็นตัวชี้วัดความเข้ากันได้ว่อีวาจะเคลื่อนไหวได้ดีแค่ไหน
    • แต่ถึงแม้จะไม่ใช่คนที่มีความสัมพันธ์ร่วมกันกับวิญญาณก็สามารถขับอีวาได้ หากมีเวลาในการฝึกฝนเพียงพอ อัตราการผสานจึงออกอมาเป็นตัวเลข % ไม่ใช่ yes หรือ no ล
    • นั่นหมายความว่าไม่ว่าใครก็สามารถขับอีวาได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้
    • นักบินจึงถูกคัดเลือกมาจาก ความเข้ากันได้ของวิญญาณที่อยู่ในร่างอีวาเป็นหลัก เพื่อให้อีวาทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุด
  • นักบินที่นั่งอยู่ใน EntryPlug จะถูกใส่เข้าไปข้างในอีวาผ่านทางกระดูกสันหลังที่ต้นคอและทำการเชื่อมต่อกับ Core ที่มีดวงวิญญาณหลักอยู่
    • ที่นั่งของนักบินถูกเรียกอีกชื่อว่า “บัลลังแห่งวิญญาณ”
    • ถือได้ว่านักบินเองก็เป็น วิญญาณ (Soul) เช่นกัน
    • ผมขอเรียกนักบินว่า วิญญาณรอง
    • เมื่อนักบินเชื่อมต่อกับวิญญาณหลักได้แล้ว วิญญาณหลักจะสามารถแสดงสนามพลัง A.T.Field ออกมาได้ผ่านร่างกายของอีวา
    • ซึ่งจะมีแค่อีวาและเทวทูตเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
   กำแพงแห่งจิตใจ - อีวา 01 ตอนคลั่งสามารถเปิด A.T.field ได้ในขณะที่นักบินกำลังหลับอยู่ จึงหมายความว่าที่มาของ  A.T.field จริงๆแล้วก็คือจิตใจของวิญญาณหลักที่อยู่ในอีวานั่นเอง และนักบินเป็นแค่คนที่เรียกมันออกใช้ผ่านการซิงโคร

ระบบการทำงานอีวา – รุ่นปรังปรุง

  • รุ่นปรับปรุง – ภาค 1.0 – 2.0
    • อีวาสามารถปรับเปลี่ยนและตั้งค่า Core เพื่อให้นักบินสามารถขับอีวาตัวไหนก็ได้
    • ตัวอย่างที่เราได้เห็นคือตอนแรกที่ชินจิได้ขับอีวา
      • ครั้งแรกที่ชินจิปฏิเสธที่จะขับอีวา 01 ริตสึโกะได้สั่งให้ปรับการตั้งค่าของ core ให้เป็น type-L00 ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรนะ แต่ที่แน่นอนคือ Core ถูกปรับแต่งเพื่อให้ เรย์สามารถขับอีวา 01ได้
      • อาสึกะและเรย์ถูกเลือกเป็นนักบินในการขับอีวา 03 แต่อาสึกะยอมขับแทน เพราะวันนั้นเป็นวันที่เรย์นัดให้เก็นโดมากินเลี้ยงกับชินจิ
      • มาริสามารถขับอีวา 05 โดยไม่ต้องคำนึงถึงวิญญาณในอีวา และ มาริก็สามารถขับ 02 ได้โดยการ hijack ระบบและตั้งค่าให้เป็นของตัวเอง
กรณีของชินจิ - ในฉากที่ชินจิปฏิเสธการขับและเรย์จะต้องเป็นคนขับแทน ได้มีการรีเซ็ทระบบและตั้งค่าให้เข้ากับเรย์เพื่อให้เรย์สามารถขับอีวาได้ ผมจึงคิดว่านี่คือรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่นแรก 
กรณีของเรย์-อาสึกะ - เรย์ได้ทำบัตรเชิญให้เก็นโดและชินจิมากินข้าวด้วยกัน แต่บังเอินว่าวันนั้น อีวา 03 ถูกส่งมาช้า กำหนดการจึงไปตรงกับวันที่มีงานเลี้ยงพอดี แถมอาสึกะยังมาถูกยึดอีวา 02 ไปด้วย ทำให้ตัวเลือกของคนทดลองขับอีวา 03 ตอนนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 คน (เรย์กับอาสึกะ) และถ้าหากวิญญาณใน core เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆในการทำให้อีวาเคลื่อนไหวได้(Yes) กับเคลื่อนไหวไม่ได้(No) แสดงว่าจะต้องนำ core ของอีวา 00 หรือ 02 มาใส่อีวา 03 งั้นหรือ ? 

   ถ้าหากเอา core ของอีวา 02 ไปใส่อีวา 03 จริง(ซิ่งไม่จริง) จะเท่ากับว่าอาสึกะจะขับอีวาตัวอื่นไม่ได้อีกเลยเพราะอีวา 03 ถูกทำลายเหลือแต่ซี่โครงเปล่าๆ....และกรณีนี้จะคล้ายกับมาริเพราะอีวา 05 ถูกทำลายไปแล้ว แต่เธอกลับยังขับอีวา 02 ได้

   เห็นไหมครับว่ามันย้อนแย้งกันไปมาทั้งหมด ดังนั้น ผมจึงสรุปว่า ไม่ว่าใครก็สามารถขับอีวาได้และไม่จำเป็นจะต้องมีวิญญาณตรงกับวิญญาณหลัก แต่จะขับได้ดีหรือไม่มันขึ้นอยู่กับค่าอัตราการซิงโคร ซึ่งค่านี้คือค่าที่วัดออกมาเป็น % มีขึ้นมีลง ไม่ใช่ yes หรือ no และ "การเชื่อมต่อกับวิญญาณหลักในอีวาจึงไม่ต่างกับการทำความรู้จักหรือสร้างคุ้นเคย" 
  • Eva Unit-02 containment measures have been unlocked.
  • Final safety systems have been disabled.
  • We are currently opening up Silo 2.
  • Core unit automatic reconfiguration sequence has begun.
กรณีของมาริ - มาริทำการ hijack อีวา 02 ออกมาและใช้ core อันเดิมของ 02 ในการใช้งาน หากฟังเสียงของฝ่ายเทคนิคที่พูดอยู่ในฉากนี้ ทุกคนจะได้ยินว่าอีวา 02 ถูกนำออกมาจากโรงเก็บพร้อมกับใส่ core กลับเข้าไปและเริ่มทำงาน ดังนั้น core อีวาจึงไม่เคยหายไปไหน และเหตุที่เธอเนียนเข้าไปแฮคได้เพราะเธอเป็นคนของ IPEA ซึ่งอีวา 02 ขึ้นตรงกับทางยูโรและทางยูโรก็เป็นคนเก็บพาสเข้ารหัสของอีวาเอาไว้

ระบบการทำงานอีวา – รุ่นใหม่

  • รุ่นใหม่ ภาค 3.0 – จบ
    • อีวารุ่นใหม่ๆทั้งหลายสามารถใช้ Dummy System เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับอีวาได้โดยไม่ต้องผ่านระบบควบคุม(วิญญาณหลัก)ในตัวของอีวาอีกต่อไป
      • แปลว่าไม่ว่าใครก็ขับอีวาได้นั่นเอง เพราะใช้ Dummy system เป็นวิญญารแทน
      • ข้อสังเกตคือ ห้องขับรุ่นใหม่จะเพิ่มอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆที่คล้ายกับแผ่นดิสบางอย่างเข้ามาที่ด้านหลังของที่นั่งคนขับ จากเดิมที่เคยมีอยู่แค่อันเดียว ตอนนี้มันมีเพิ่มขึ้นมาหลายอันและแบ่งเป็นสองฝั่ง
      • แต่เดิมแผ่นดิสตรงนี้จะแสดงสถานะโหมดการทำงานของอีวาให้เห็น
      • จากการวิเคราะห์ผมคิดว่ามันคือ Dummy plug system รุ่นใหม่สุดที่จำลองข้อมูลวิญญาณเอาไว้ในแผ่นเรียบร้อยแล้วและมันสามารถสลับสับเปลี่ยนกับดิส
        อีกอันที่อยู่ฝั่งคนขับได้.เสมือนกับว่าเรากำลังเปลี่ยนแผ่นเสียงเพื่อฟังบทเพลงบทใหม่
      • คาโอรุพูดว่ามันคือ ระบบควบคุม
    • ระบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
      • ข้อดีคือ มันเป็นตัวช่วยนักบินในการควบคุมอีวา
      • ข้อเสียคือ มันสามารถยึดระบบควบคุมไปจากนักบินได้ ด้วยการทำหน้าที่เป็นทั้งวิญญาณหลัก และ วิญญาณรอง เสียเอง
  • So that’s the Dummy System.
  • It is ostensibly nothing more than a support system for the pilot,
  • but it is not only capable of autonomous control on its own,
  • but it can even generate an AT field out of an unmanned It is apparently more humane than making children pilot them.

Dummy System รุ่นเก่าในอีวา 01
Dummy System รุ่นใหม่ในอีวา 13
   สาเหตุที่ผมวิเคราะห์ว่ามันคือ Dummy plug system เพราะว่าระบบนี้ถูกกล่าวถึงแค่ภาค 2.0 เพียงภาคเดียวและไม่เคยเอ่ยถึงอีกเลยหลังจากนั้น แต่แล้วอยู่ๆใน ภาค 3.0 ก็มีสิ่งที่คล้ายกันโผล่ออกมาให้เห็น แถมยังไม่มีการอธิบายอะไรเลยด้วยว่าสิ่งนี้มันคืออะไร 

   จึงเกิดคำถามขึ้นว่า หากเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมในช่วงเวลา 14 ปีที่ผ่านไปแล้ว หน้าตาของมันควรจะออกมาเป็นแบบไหน และเมื่อรวมกับเหตุผลที่ว่าอนิเมะไม่เคยอธิบายข้อมูลของเจ้าสิ่งนี้เลย คำตอบจึงออกมาที่มันคือ Dummy plug system รุ่นใหม่ และด้วยระบบการทำงานที่สามารถยึดการควบคุมไปจากนักบินได้ยิ่งตอกย้ำว่ามันคือระบบเดียวกันอย่างแน่นอน อย่างเช่นกรณีที่อีวา 09 ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์จากเซเล่
อีวา 09 โดนเซเล่ควบคุม
   เมื่อมีการนำระบบ dummy system เข้ามาใช้ นักบินจะสามารถสร้างสนามพลังด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องอาสัย A.T.field จากวิญญาณหลักอีกต่อไปเพราะนักบินจะเชื่อมต่อกับ dummy ที่เป็นตัวกลางแทนวิญญาณที่อยู่ในอีวา 
   แต่ยังมีอีกสนามพลังที่มีพลังงานสูงยิ่งกว่าคือ สนามพลังที่เกิดจากนักบินที่อยู่ในสถานะลืมตาตื่น Awakening 

Kundalini กุณฑาลิณีการปลุกพลังที่หลับไหล

  • กุณฑาลิณี คือ การกระตุ้นพลังที่ส่งผ่านจากกายละเอียดสู่กายหยาบ เพื่อสานร่างกายและจิตใจให้กลายเป็นหนึ่ง เมื่อมาอยู่ในอนิเมะมันจึงหมายถึง เหตุการณ์ที่นักบินหลอมรวมกับอีวา
    • การปลุกพลังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในคนละอีวาแบบ Upscaleแต่จะเกิดขึ้นในคนก่อนเสมอ เพราะนักบินเปรียบเสมือนกับ กายละเอียด (Soul) ของอีวา
    • ดังนั้นการตื่นของนักบินจึงเทียบได้กับการปลุกพลังกุฑาลินีของอีวา
    • เรียกว่า การลืมตาตื่น Awakening หรือ การข้ามขีดจำกัด
คลิปอธิบายการปลุกพลังของคนและอีวา

การปลุกพลัง

การปลดล๊อคขีดจำกัด

   นักบินและอีวาต่างก็มีสถานะเป็น คนที่กำลังหลับอยู่ทั้งคู่ และทั้งคู่ก็สามารถถูกปลุกให้ตื่นขึ้นได้ หากมีอะไรบางอย่างไป กระตุ้น(Trigger) การกระตุ้นจะทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมาเหมือนการปลุกกุณฑาลินี สถานะของทั้งคนและอีวาจะถูกเรียกว่าด้วยคำว่า
การข้ามขีดจำกัด ซึ่งในกรณีของอีวา ขีดจำกัดที่ว่านี้มันมาจากสิ่งที่คนออกแบบได้ทำการติดตั้งลงไปในหุ่นที่เรียกว่า Limiter ลิมิเตอร์/ตัวจำกัด 

Limiter ลิมิเตอร์ คือตัวจำกัดพลังของอีวาไม่ให้แสดงพลังที่แท้จริงออกมา เพราะอีวาเป็นสิ่งที่มีต้นแบบมาจากการโคลนนิ่งอดัมและลิลิธ ดังนั้นพลังของมันจึงมีมหาศาลไม่ต่างจากต้นแบบ เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินเผลอไปรวมร่างกับมัน มนุษย์จึงทำการติดตั้ง Limiter เข้าไป และดัดแปลงให้มันทำงานเป็นหุ่นยนต์ เดิน วิ่ง เตะ ต่อย เหมือนคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรเสมือนว่ามันกำลังหลับอยู่” อีกเหตุผลที่ต้องทำก็เพื่อให้ทางเซเล่และเนิร์ฟเตรียมการทุกอย่างจนพร้อมก่อนที่จะทำพิธีกรรมจริงๆ โดยไม่มีอีวาตัวไหนเผลอตื่นขึ้นมาเป็นตัวปัญหาซะก่อน

   กุณฑาลิณีในอีวาเกเลี่ยนนั้นไม่ได้ถูกตีความแบบตรงไปตรงมา แต่ก็มีใจความสำคัญไม่ต่างกันคือในด้านของ "อารมณ์" การปลุกพลังมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี ผมขอเรียกมันว่า ทางตรงและทางอ้อม
  1. การปลุกพลังทางตรง คือ การปลุกพลังด้วยตัวเอง
    • การปลุกพลังด้วยพลังของมนุษย์
    • การปลุกพลังด้วยพลังของเทวทูต
  2. การปลุกพลังทางอ้อม คือ การปลุกพลังแบบมีตัวช่วย
    • การปลุกพลังโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาซัพพอท
การที่ผมถึงวิเคราะห์ออกมาแบบนี้มันมีสาเหตุมาจากคำพูดของอาสึกะในฉากนี้ครับ 

อาสึกะ : ฉันมีเรื่องจะบอกอาสึกะ
อาสึกะ : เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอีวาอย่างเราก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์
อาสึกะ : พวกเขาเลยใส่เครื่องจำกัดให้เราในขั้นตอนการออกแบบเหมือนที่ทำกับอีวา
อาสึกะ : เราถึงไร้สมรรถภาพทางอารมณ์

   จากบทพูดนี้ทำให้รู้ว่า คนปกติทั่วสามารถปลุกพลังกุณฑาลิณีได้ตลอดเวลาหากเผลอไปปลุก เพราะ มนุษย์เกิดมาตามธรรมชาติไม่ได้ถูกดัดแปลง ซึ่งชินจิเป็นมนุษย์ปกติเพียงคนเดียวที่ได้ขับอีวา แต่นักบินคนอื่นๆนั้นโคลนนิ่งทั้งหมด และเหล่าโคลนนิ่งก็จะ ถูกดีไซน์ให้ยับยั้งสมรรถภาพทางอารมณ์เอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอไปหลอมรวมและปลุกอีวา ดังนั้นกระบวนที่เกิดขึ้นในแบบทางตรงกับทางอ้อมจึงต่างกันและให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน

ทางอ้อม – การปลุกพลังแบบมีตัวช่วย

   โคลนนิ่งและอีวาถูกตั้งค่าและติดตั้งลิมิเตอร์เอาไว้ ทำให้นักบินไม่สามารถปลุกพลังด้วยตัวเองได้ จึงต้องใช้ตัวช่วยเพื่อปลดลิมิเตอร์ โดยการใช้คำสั่งและชุดปลั๊กสูทรุ่นใหม่ อย่างกรณีของอีวา 02
  • ในภาค2.0 เราจะได้ยินว่า มีการพูดถึงปลั๊กสูทรุ่นใหม่จากคาจิ และมาริก็ได้นำมันมาใช้กับอีวา 02 ตอนสู้กับเทวทูตตนที่ 10 ด้วย
  • ชุดปลั๊กสูทไม่ใช่แค่ชุดแฟชั่น มันคืออุปกรณ์หนึ่งที่ช่วยให้นักบินสามารถผสานกับอีวาได้ดีขึ้น
  • คุณสมบัติหลักๆของรุ่นใหม่คือ ช่วยปลดลิมิเตอร์
  • เพื่อให้นักบินรองรับสภาพอารมณ์ที่บ้าคลั่งของอีวาที่ถูกปลดลิมิเตอร์ออกเช่นกัน มันจึงถูกเรียกว่า “การเปลี่ยนรูปแบบ” หรือ “เปลี่ยนร่าง
  • รูปแบบ“สัตว์”เป็นหนึ่งในรูปแบบทั้ง 4 ร่างของอีวา
  • การทำงานจะเริ่มต้นจากนักบินก่อนเสมอ
  • นักบินจะมีอัตราซิงโครที่สูงขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นอีวา
  • โดยสามารถดูได้จากระดับของ Entry plug ที่ไหลเข้าไปใกล้ Core
  • แต่นักบินจะไม่หลอมรวมกับ Core เพราะ Entry plug หยุดอยู่ในเขตอันตราย ซึ่งมันเป็นเพราะ การตั้งค่าจากระบบ
  • เป็นการจงใจทำให้คนและอีวา เกือบจะกลายเป็นคนคนเดียวกัน
  • หากลึกไปมากกว่านี้นักบินก้าวข้ามเส้นแบ่งของความเป็นคนหรือ“สูญเสียตัวตน
  • การปลุกพลังรูปแบบนี้ไม่ใช่การตื่นที่แท้จริงเพราะนักบินไม่ได้หลอมรวมกับอีวามากพอ
    ถึงจะใช้ชุดสูทและระบบช่วยปลดลิมิเตอร์แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรียกว่าการจัดฉากอยู่ดี ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ

Dummy System

  • Dummy System คืออีกระบบหนึ่งที่ช่วยปลดขีดจำกัดของอีวาออก เป็นการสร้างนักบินจำลองเพื่อสั่งการโดยเฉพาะ
  • การมาของระบบนี้ทำให้เก็นโดไม่ต้องการชินจิอีกต่อไป
  • เพราะนอกจากจะทำงานได้ดีกว่านักบินแล้วยังไม่ต้องเสื่ยงโดนหลอมรวมด้วย
  • การปลุกพลังในรูปแบบนี้จะมีแค่พละกำลังที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่การปลุกพลังที่แท้จริงเพราะขาดดวงวิญญาณของจริง

ทางตรง – ปลุกพลังด้วยตัวเอง

   จากข้อความอาสึกะ อารมณ์หรือเจตจำนงค์ คือสิ่งที่กระตุ้นพลังงานที่หลับอยู่ในตัวคนให้ตื่นขึ้น ว่ากันตามแบบจิตวิทยาของอารมณ์ความรู้สึก ความรัก ความโกรธ หากเมื่อไรที่คนเราปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล คนเรามักจะทำสิ่งต่างๆลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรือพลั่งมือทำลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เพราะว่าในตอนนั้นเราไม่ได้มีสติดีพอที่จะคิดทบทวน หรือชั่งใจในสิ่งที่ทำลง ทุกอย่างทำไปเพราะ อารมณ์นำพา ล้วนๆ อารมณ์จึงเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ชินจิปลุกพลังกุณฑาลิณีของตัวเอง ในภาค 2.0 
   อีกหนึ่งฉากที่บอกว่า อารมณ์ คือส่วนหนึ่งของการปลุกพลังคือตอนที่ชินจิถูกใส่ปลอกคอ DSS Choker ริตสึโกะได้บอกไว้ว่า 
  • Should you succumb to your emotions while piloting an Eva, and the risk of Awakening becomes too great to avoid,
  • หากเธอยอมจำนนต่ออารมณ์ขณะขับอีวา ความเสี่ยงที่จะตื่นขึ้นนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหลีกเลี่ยง

Trigger ตัวกระตุ้น

 "เอาอายานามิ คืนมานะ" ความต้องการที่จะช่วยเรย์คือแรงกระตุ้นให้เกิด อารมณ์ความโกรธของชินจิ และชินจิที่ตื่นขึ้นก็คือ Tigger ของอีวา 01 อีกที ตามหลักการปลุกพลังกุณฑาลินีที่จะส่งทอดพลังต่อไปถึงอีวา
怒り Ikari แปลว่า ความโกรธ anger,hatred,rage,wrath
  • ชินจิปลุกพลังของมนุษย์ขึ้นมาและใช้พลังผ่านร่างกายของอีวา 01
  • อีวาจึงไม่ต้องการพลังงานภายนอกที่มนุษย์ตั้งกฏเกณฑ์อีกต่อไป เพราะชินจิตอนนี้ได้ข้ามขีดจำกัดของคนกลายเป็นอีวาไปแล้ว
  • Halo วงแหวานบนหัวแสดงออกถึงการตื่นขึ้นของจักระที่ 7 สหัสราระ ตำแหน่งของจักระนี้อยู่บริเวณเหนือหัว ถูกเรียกว่า จักระมงกุฏ
  • เอนทรี่ปลั๊กจะเลื่อนเข้าไปที่ core ของอีวา 01 โดยไม่หยุดอยู่ในจุดอันตรายเหมือนอย่างมาริ
  • พลังของชินจิถูกส่งผ่านไปถึงอีวา เหมือนพลังกุณฑาลินีที่ส่งจาก กายละเอียด สู่ กายหยาบ
  • ชินจิสามารถใช้สนามพลังของตัวเองผ่านร่างของอีวาได้เปรียบเสมือนเป็นร่างของตัวเอง
  • การตื่นของพลังแบบนี้ทำให้ ชินจิสูญเสียตัวตนและหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับอีวา
  • เมื่ออีวาได้รับพลังจากวิญญาณที่ตื่นขึ้นแล้ว อีวาจึงตื่นขึ้นตามมาในฐานะเทวทูต
  • เมื่ออีวา 01 ที่เป็นเทวทูต รวมกับนักบินที่เป็น มนุษย์ จึงเกิดรูปแบบสุดท้าย พระเจ้า
  • พระเจ้าในที่นี้คือภาพสะท้อนไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ
  • เพราะ FOL และ FOK ในตอนนี้คือ Type-Fruit ไม่ใช่อดัมและลิลิธตัวจริงๆ
  • ประตูแห่งกัฟถูกเปิดออกมาเป็นสีแดงไม่ใช่สีรุ้งแบบขั่วโลกใต้ที่ใช้อดัมกับลิลิธเปิด ซึ่งมีศักดิ์อยู่ในระดับที่สูงกว่า Type-Seed
ในภาค 3.0 คาโอรุได้พูดถึงชินจิว่าเขาคือตัวกระตุ้นของอีวา 01 
ในภาค 3.0+1.0 เราจะได้เห็นตาสีแดงของชินจิอีกครั้ง ซึ่งเก็นโดได้พูดถึงสถานะนี้ว่า"การตื่น" 

การรวมร่าง

   จบกันไปกับการ Awakening แต่ประเด็นของอีวา 01 ยังไม่จบ ดังนั้นผมจึงขอเล่าขั้นตอนต่อไปที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นต่อครับ ซึ่งมันจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเพราะอีวา 01 ที่ตื่นขึ้นในฐานะ อดัม(ปลอม) ในตอนนี้มันได้รวมร่างเข้ากับอีกส่วนหนึ่งที่เป็น ลิลิธ(จริง) และนี่คือสิ่งที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นของบทความ เรื่องความสมบูรณ์ของผู้ทำพิธีกับตัวจริงและตัวปลอม
  • ความสมบูรณ์ของอดัม Perfect Adam ที่แท้จริง
    • Adam Vessel กายของอดัม คือ ร่างของอดัม
    • Adam Soul วิญญาณของอดัม คือ นางิสะ คาโอรุ
  • ความสมบูรณ์ของลิลิธ Perfect Lilith ที่แท้จริง
    • Lilith Vessel กายเนื้อของลิลิธ คือ ร่างของลิลิธ
    • Lilith Soul วิญญาณของลิลิธ คือ อายานามิ เรย์
  • กายและใจจะผูกติดกันด้วย Core แกนกลาง
   แต่โจทย์ที่เราได้ในตอนนี้คืออีวา 01 ที่โคลนนิ่งจากอดัม กับอีวา 00 ที่ทุกคนอาจไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว มันถูกสร้างมาจากคลึ่งร่างของลิลิธที่หายไปนั่นเอง บางคนคงเริ่มสงสัยกันแล้วว่าอีวา 00 มันเป็นยังไงมายังไงถึงมารวมกับอีวา 01 ได้ และมีข้อมูลอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าอีวาตัวนี้คือลิลิธ เพื่อไขข้อสงสัยนี้ผมต้องขอย้อนกลับไปพูดถึงรายละเอียดของอีวาทั้ง 2 ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ครับ
  • อีวา 01 ที่เป็น อดัม(ปลอม)
  • อีวา 00 ที่เป็น ลิลิธ(จริง)
  

Evangelion Unit 01

   ในภาค NGE อีวา01 คืออีวาตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นก่อนอีวา 00 โดยมันถูกสร้างมาจากครึ่งร่างของลิลิธที่หายไป ลิลิธจึงเหลือแค่ส่วนบนเพียงส่วนเดียว โดยอีวา 01 จะมี Core แกนกลางอยู่หนึ่งอัน แต่ในภาค ROE ดูเหมือหลายๆอย่างถูกสลับสับเปลี่ยนกัน หมดแทนที่อีวา 01 จะถูกสร้างมาจากครึ่งล่างของลิลิธเหมือนเดิม มันกลับกลายเป็นถูกโคลนนิ่งจากอดัมแทน ที่นี้ลองมาดูกันว่ามีข้อสังเกตอะไรบ้างที่บ่งบอกว่า่อีวา 01 ตัวนี้ถูกสร้างมาจากอดัม
  • จากเนื้อหาพาทที่ 2 ที่ผมได้อธิบายไป ส่วนที่เป็น “เขา” คือคำใบ้จากผู้สร้างที่บ่งบอกว่าอีวาตัวไหนเป็นอดัม และอีวา 01 ก็เป็นอีกตัวที่มีเขา
  • Blood type Blue หรือ Pattern Blue สิ่งที่บ่งบอกกรุ๊ปเลือดของเทวทูตที่เป็นรูปแบบสีฟ้า หรือน้ำเงิน โดยในครั้งแรกที่อีวา 01 ออกปฏิบัติการ และได้ต่อสู้กับเทวทูตตนที่ 4 จะมีอยู่ฉากหนึ่งที่อีวาพยายาามจะเจาะสนามพลัง A.T.field ของเทวทูต ซึ่งจอภาพในขณะนั้นจะแสดงให้เห็นว่าทั้งเทวทูตและอีวา 01 มีกรุ๊ปเลือดที่เป็นสีฟ้าเหมือนกันคือ Blood Type : Blue **A เอท้ายคำอาจหมายถึง Adam อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดนะ
    • แค่ฉากนี้ฉากเดียวก็ยืนยันได้แล้วว่าอีวา 01 ไม่ได้สร้างจากลิลิธ
  • กับอีกฉากหนึ่งที่เทวทูตตนที่ 10 กินอีวาหมายเลข 00 เข้าไป ภาพแสดงผลว่าสัญญาณของเทวทูตถูกเปลี่ยนกลายเป็นของอีวา 00 และนี่เป็นสิ่งที่ชี้ชัดได้อย่างดีว่าอีวา 2 ตัวนี้แตกต่างกันเพราะมีรูปแบบเลือดคนละสี
   การวิเคราะห์ต่อมาคือ สีผิวที่มือของอีวา 01 เพราะหลังจากที่ได้ใช้มือเข้ารับการโจมตีจากแซ่ของเทวทูตตอนที่ 5 เราจะเห็นว่าสีผิวหนังจริงๆของอีวา 01 มันมีสีขาว ซึ่งจะแตกต่างจากภาค NGE ที่มีสีดำ และสีผิวนี้เองคือข้อแตกต่างที่ใช้บ่งบอกถึงต้นกำเนิดของอีวา 01 ที่ผมคิดว่ามันจะเป็นไปตามนี้
  • อีวา 01 ในภาค ROE เป็นโคลนนิ่งของอดั ผิวหนังใต้เกราะจะมี สีขาว
  • อีวา 01 ในภาค NGE เกิดมาจาครึ่งร่างของลิลิธ ผิวหนังใต้เกราะจะมี สีเข้ม คล้ำ
   อีกหนึ่งข้อมูลในภาค 2.0 ที่เป็นตัวช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ถึงสถานะของอีวาเหล่านี้ได้ว่า มันถูกแบ่งเป็น พระเจ้าจอมปลอม(โคลน) กับ พระเจ้าตัวจริง มาจากบทสนทนาระหว่างเก็นโดกับเซเล่ เราลองมาวิเคราะห์บทสนทนานี้กัน

เซเล่ : อีวา 03 เป็นของที่รัฐบาลอเมริกาส่งตรงมาให้พวกคุณ
เซเล่ : รัฐบาลของประเทศคุณเองก็ให้ความร่วมมือแล้วด้วย
เซเล่ : เป็นเครื่องรุ่นใหม่ คงจะเป็นกำลังรบที่ใชการได้
เซเล่ : การกำจัดเทวทูตนั้นอยู่ในขั้นดำเนินการครับ
เก็นโด : หากมีการสนับสนุนด้านอะไหล่สำหรับการซ่อมบำรุง 00 ล่ะก็
เซเล่ : ของสำหรับทดสอบหนะ มันหมดหน้าที่ไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องซ่อมหรอก
เซเล่ : ใช่แล้ว ก่อนหน้านั้นยังมีสิ่งอื่นที่น่าจะต้องทำอยู่อีก
เซเล่ : ความหวังของพวกเราคือ อีวาเกเลี่ยนที่แท้จริง
เซเล่ : การกำเนิดและการฟื้นคืนชีพของลิลิธคือเวลาแห่งพันธะสัญญา
เซเล่ : จนกว่าจะถึงวันนั้นเราต้องทำพิธีที่จะเป็นเพื่อแผนการพัฒนามนุษย์ชาติ
เก็นโด : เข้าใจแล้วครับทุกอย่างจะเป็นไปตามบทที่เซเล่วางไว้

บทสนทนาระหว่างประชุมได้บ่งบอกว่าอีวาตัวอื่นๆไม่มีความสำคัญอะไรเลยในแผนการ เพราะความหวังของเซเล่คือ อีวาเกเลี่ยนที่แท้จริง และบทสนทนาต่อมาก็ได้บอกให้เราได้รู้ว่า อีวาเกเลี่ยนที่แท้จริง ที่ว่านั้นก็คืออีวา 06 จากปากของฟุยุสึกิ และมีการพูดเปรียบเทียบระหว่างอีวา 01 ไว้ด้วยว่า พระเจ้าตัวจริง และ พระเจ้าตัวปลอม 

เก็นโด : อีวาเกเลี่ยนที่แท้จริง
เก็นโด : จนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์นั้น จำเป็นต้องให้ 01 และตัวอื่นทำงานหนักหน่อยนะ
ฟุยุสึกิ : นั่นคือมาร์ดซิกงั้นเหรอ
ฟุยุสึกิ : ไม่ใช่พระเจ้าจอมปลอมแต่จะสร้างพระเจ้าตัวจริงขึ้นมาเลยสินะ
เก็นโด : ต้องรีบทำให้ อีวา 01 ลืมตาตื่นขึ้นมาโดยเร็วที่สุด

   จากบทพูดนี้ตีความได้ว่า พระเจ้าตัวจริงที่พูดถึงคือ อีวา 06 ที่ใช้ร่างกายจริงของอดัมบนดวงจันทร์เป็นวัตถุดิบในการสร้างขึ้นมาเลย ขณะที่คำว่า พระเจ้าจอมปลอม นั้นหมายถึง อีวา 01 ที่ถูกโคลนนิ่งมาจากอดัมอีกที และสถานะ ตัวจริง ตัวปลอมนี้ นี้คือสิ่งสำคัญในการประกอบพีธีกรรม เพราะกระบวนการที่สมบูรณ์จะเกิดขึ้นได้จากผู้ประกอบพิธีกรรมที่เป็นตัวจริงเมื่อลืมตาตื่นเท่านั้น

Evangelion Unit 00

   สิ่งที่แตกต่างไม่ได้มีเพียงแค่อีวา 01 เท่านั้น แต่อีวา 00 ของอายานามิ เรย์ เองก็ถูกเปลี่ยนเช่นกัน ประเด็นที่อยากให้สังเกตคือ เก็นโดอยากเก็บอีวาตัวนี้เอาไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง จะเห็นได้จากฉากประชุมกับเซเล่ว่า เก็นโดต้องการอะไหล่เพื่อซ่อม 00 แต่เซเล่ปฏิเสธไป โดยให้เหตุผลว่ามันเป็นรุ่นทดลองและหมดประโยชน์แล้ว ทุกคนอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่หุ่นต้นแบบมักจะไม่ได้รับการสนใจเมื่อมีรุ่นใหม่ๆที่ใช้งานได้ดีกว่าออกมา แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น

   เหตุผลที่ต้องซ่อม ผมคาดเดาจากหลักฐานต่างๆไว้ว่า อีวา 00 ถูกสร้างจากครึ่งร่างของลิลิธแทนที่จะเป็นอีวา 01 เหมือนในภาค NGE มันจึงเป็นหุ่นที่สำคัญ และยังเป็นอีกสาเหตุว่าทำไมเทวทูตตนที่ 10 ถึงเลือกที่จะกินอีวา 00 เข้าไปแทนที่จะทำลายทิ้งเหมือนอีวา 02 และหลังจากที่มันได้กินเข้าไปร่างกายช่วงลำตัวของมันก็ได้กลายสภาพเป็นร่างกายของผู้หญิง ที่สื่อถึงตัวตนที่เป็นผู้หญิงของลิลิธ เพื่อบ่งบอกว่า มันได้รับ DNA ของลิลิธเข้าไปแล้ว
   ในตอนที่มันกำลังจะกลายสภาพ หน้าจอได้แสดงสถานะสีน้ำเงินที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง มิซาโตะพูดขึ้นว่า "แบบนี้ถึงมันจะบุกเข้ามาได้ด๊อกม่าก็จะไม่ระเบิดตัวเอง" แสดงว่าตัวฐานมีระบบทำลายตัวเองทันทีเมื่อสัญญาณของสิ่งมีชิวิตที่เข้าไปหาลิลิธ มีรูปแบบสีน้ำเงินหรือเทวทูต ในอีกความหมายคือ การที่มันกินอีวา 00 เข้าไปทำให้ มันไม่ไช่เทวทูต อีกแล้วนั้นเองหรือไม่ก็เป็นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน

   ดังนั้น เทวทูตที่กลายเป็นเหมือนกับอีวา 00 จึงเป็นคู่ตรงข้ามของ อีวา 01 โดยปริยายในฐานะ อดัม(ปลอม)และลิลิธ(จริง)

it’s transcending humanity, turning into a nearly divine being. Inside the huge swells of complementarity, it’s binding together the heavens, the earth,

  การรวมกันของสวรรค์และโลกในฉากนี้ จริงๆแล้วมันหมายถึงการรวมกันของอีวา 01 (อดัม) และ อีวา 00 (ลิลิธ) นั่นเองครับ

ลิลิธคนใหม่

   เมื่อรู้ข้อมูลของอีวาทั้งสองแล้วเราก็จะรู้ส่วนประกอบต่างๆว่ามีขาดเหลืออะไรไปบ้าง ซึ่งอีวาหนึ่งร่างจะประกอบไปด้วย 3 อย่าง Vessel Soul Core หลักๆ และแน่นอนว่ามันจะต้องมีทั้งของจริงและของปลอมอยู่ด้วย ระหว่างส่วนประกอบที่เป็น โคลนนิ่ง หรือ ร่างเนื้อดั้งเดิมของลิลิธกับอดัม 

ดังนั้นผู้อ่านจึงควรจับประเด็นที่ว่า "ส่วนประกอบชิ้นไหน" คือ ส่วนประกอบของจริงจากต้นฉบับ (ไม่ใช่มาจากการโคลนนิ่ง)
  • ความสมบูรณ์ของ Adam
    • Adam Vessel อีวา 01 ถูกโคลนนิ่งจาก DNA ของอดัม (ปลอม)
    • Adam Soul ชินจิไม่ใช่วิญญาณอดัม (ปลอม)
    • Adam Core แกนกลางของ อีวา 01
    • อดัมตัวปลอม
  • ความสมบูรณ์ของ Lilith
    • Lilith Vessel อีวา 00 ถูกสร้างมาจากครึ่งร่างของลิลิธ (จริง)
    • Lilith Soul อายานามิ เรย์คือ วิญญาณของลิลิธ (จริง)
    • Lilith Core แกนกลางของอีวา 00
    • ส่วนประกอบเป็นลิลิธตัวจริงทุกส่วน แต่ตอนนี้อยู่ในร่างเทวทูต
  • กายและใจจะผูกติดกันด้วย Coreแกนกลาง
    • อีวา 01 เป็นร่างหลักที่รวบรวมส่วนประกอบต่างๆ
    • แกนกลางไม่มีคำว่าจริงหรือปลอมเพราะมันเป็นแค่ส่วนกลางที่ยึดเหนี่ยวส่วนประกอบเท่านั้น
   ในช่วงแรกของพาทนี้ผมได้พูดถึงการแผนการของเก็นโดและเซเล่ไว้ว่าพวกเขานั้นต่างก็มีส่วนประกอบของอดัมและลิลิธอยู่ในมือคนละชิ้น และในตอนท้ายของภาค 2.0 ก็คือช่วงที่เก็นโดเปิดเกมส์ใส่เซเล่ก่อน เพราะเขาวางแผนที่จะทำการยัดส่วนประกอบเหล่านั้นของลิลิธเข้าไปในอีวา 01 เพื่อทำให้ลืมตาตื่นเป็นลิลิธคนใหม่ดังนี้ครับ
  • เทวทูตกินอีวา 00 เข้าไปและเปลี่ยน DNA ของตัวเองกลายเป็นลิลิธ ดังนั้นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของมันมันจึงเป็น Lilith Vessel
  • อีวา 01 ทรวง core ของเทวทูตและดึง Lilith Core ออกมา
  • ร่างของเทวทูตระเบิดออกกลายเป็นของเหลวสีแดง แล้วทั้งหมดก็รวมเข้ากันที่ Lilith Core กลายเป็น ผู้หญิงที่สมบูรณ์
  • อีวา 01 ได้ดูดซับเอาร่างกายลิลิธเข้าไปจึงได้รับส่วนประกอบของลิลิธทั้ง 3 อย่าง
  • ตอนนี้อีวา 01 มี Core เพิ่มมาอีก1 อัน เท่ากับว่าในร่างนี้มีพื้นที่ ที่สามารถรองรับ คนได้ 2 คนในหนึ่งร่าง
  • ประเด็นหลักคือ ร่างของอีวา 01 ไม่มี Soul ของอดัมตัวจริงและ Vessel ยังเป็นอดัมปลอมอีกด้วย
  • แต่ส่วนประกอบที่สมบูรณ์ที่สุดกลับเป็น
  • ลิลิธ เพราะมีทั้ง เลือดเนื้อ ภาชนะ วิญญาณของลิลิธ ตัวจริงอยู่ครบ
  • ดังนั้นร่างนี้จึงไม่ใช่ พระเจ้า(F.A.R.) ที่สมบูรณ์แบบ แต่กลายเป็นร่างลิลิธที่สมบูรณ์แทน
  • จะมีฉากที่ให้เราได้เห็นใบหน้าของลิลิธแล้วตัดสลับกลับไปเป็นอีวา 01 อยู่ช่วงหนึ่ง เพื่อเป็นการบอกใบ้ถึงตัวตนของอีวา 01 ในขณะนี้ว่าคือ ลิลิธ
   การสลับสถานะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะถ้าทุกคนได้ดูภาค EOE ก็จะรู้ว่าร่างของพระเจ้าที่เกิดจากการรวมกันของอดัมและลิลิธนั้นแสดงตัวตนเป็นชายและหญิงในร่างเดียวกัน  มาโกโตะ ฮิวงะ ที่เป็นโอเปอเรเตอร์จึงสับสนและพูดสถานะของร่างกายพระเจ้าออกมาทั้งสองแบบว่าเป็นเทวทูตและมนุษย์ เพราะรูปแบบในตอนนั้นกำลังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างเรย์กับคาโอรุ  เป็นรูปลักษณ์ของพระเจ้า(F.A.R.)ที่มีสองเพศในหนึ่งเดียวกัน
   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาค 2.0 ได้ถูกเรียกว่า Near Third Impact ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดของเซเล่ เพราะจริงๆแล้วเซเล่คิดจะใช้อีวา 06 ที่มีส่วนประกอบของอดัมครบทุกอย่าง รวมร่างกับลิลิธในฐานทัพเพื่อทำ impact ต่างหาก แต่พอมีตัวปัญหาแบบอีวา 01 เกิดขึ้นมา แผนการของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยน ทำให้อีวา 01 ถูกใช้เป็นเครื่องมืออีกครั้งในช่วงเวลา 14 ปีที่หายไปในฐานะลิลิธแทน โดยใช้เป็นทริกเกอร์(จากคำพูดของคาโอรุ)เพื่อสร้าง Third impact จนทำให้มนุษย์บนโลกกลายเป็นอีวากันหมด เดี๋ยวในพาทต่อไปผมจะวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ให้ฟังกัน เพราะในพาทนี้จะเน้นไปที่ความสมบูรณ์ของอีวาทุกตัวก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องไปอธิบายการทำงานของมันระหว่างทางอีก
   การที่อีวา 01 กลายเป็นลิลิธไปแล้วนั้นทำให้อีวาตัวนี้มีความสำคัญมากที่สุดเพราะในตัวของมันมี วิญญาณของลิลิธอยู่ หากใครได้อ่านมังงะภาคเก่าจะรู้ว่า ต่อให้คาโอรุสัมผัสกับลิลิธได้พิธีกรรมก็จะไม่สมบูรณ์ (จากคำพูดของเก็นโด) เพราะว่าในตอนนั้นเรย์ไม่ได้รวมร่างกับลิลิธ
   อีกหนึ่งคำบอกใบ้ที่ผู้สร้างได้ใส่เอาไว้ในภาค 2.0 เพื่อบอกว่าอีวา 01 คือลิลิธคนใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นก็คือคำว่า วันแห่งพันธะสัญญาณ ครับ 
เซเล่ได้บอกไว้ว่า การกำเนิดและการฟื้นคืนชีพของลิลิธ คือ เวลาแห่งพันธสัญญา และคาโอรุ คือคนที่บอกให้เรารู้ว่าช่วงเวลานั่นคือตอนที่อีวา 01 ลืมตาติ่นนั้นเองครับ จากประโยคที่ว่า 

 "เอาล่ะ ได้เวลาแห่งพันธสัญญาแล้ว อิคาริชินจิ คุง"
ตรงจุดนี้ผู้สร้างจงใจเล่นกับ ข้อความ และ คำพูด ที่ตัวละครพูดออกมา เพื่อบ่งบอกว่าตอนที่คาโอรุพูดนั่นแหละ คือช่วงเวลาแห่งพันธสัญญาที่พูดถึง และลิลิธที่คืนชีพก็คืออีวา 01

Evangelion 13

ข้อมูลเบื้องต้น

   จบกับอีวา 01 ก็มาต่อกันที่อีวา 13 ซึ่งเป็นอีวาที่ซับซ้อนอีกเช่นกันและผมได้เกริ่นเอาไว้แล้วว่ามันคืออีวาพระเจ้าที่สร้างขึ้นจากการโคลนนิ่ง อดัมกับลิลิธ โดยมีลักษณ์เด่นของร่างจะออกไปทางอดัมเป็นหลัก คือ "เขา" และด้วยเหตุที่มันเป็นภาชนะของพระเจ้าที่ต้องถูกเติมเต็มเสียก่อน มันจึงถูกสร้างมาพร้อมกับ Core 2 อัน เปรียบกับว่ามันคือภาชนะที่เอาไว้ใส่ร่างสองร่างในหนึ่งเดียว เหมือนกับอีวา 01 ที่ลืมตาตื่นแล้ว ..แต่สิ่งที่แตกต่างคืออีวา 13 ใช้ระบบ  D-type entry system เพื่อใช้นักบิน 2 คนในการขับเคลื่อนแทน ซึ่งมันเหมาะกับการที่จะหลอกใช้ชินจิขึ้นบังคับกับคาโอรุ
  ภาพจากคลิปวีดิโอพิเศษที่แถมมาจาก Evangelion:3.333 Blu-ray เป็นสตอรี่บอร์ดเวอร์ชั่นแรกที่ถูกเขียน แสดงให้เห็นว่าอีวา 13 มี core สองอัน แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าในเวอชั่นสร้างจริงมันจะมี 2 core ด้วยจริงไหม เพราะ core อันตรงกลางที่ผมบอกว่าเป็นตำแหน่งของลิลิธมันอันเล็กมากๆ ถ้าเทียบกับ Core อีกอัน แถมตำแหน่งก็ไม่เหมือนกับในเวอชั่นดั้งเดิมที่เป็นแนวขวางอีกด้วย (ดีไม่ดีภาพที่เห็นนี่มันอาจจะเป็นแค่คำใบ้เท่านั้น เหมือนกรณีภาพของอดัมทั้ง 4)  แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับอีวา 01 ที่มี 2 Core ดังนั้นผมจะขอเล่าโดยบอกว่าอีวา 13 มี 2 Core  รวมถึงชื่อเรียกของ Core แต่ละอันจะเชื่อมโยงกับสถานะต่างๆที่ผมจะอธิบายในขั้นต่อไปด้วย
  • ชินจิ นั่งอยู่ใน entry plug ที่เชื่อมต่อกับ Lilith Core
    • สถานะชินจิจึงเป็นเหมือนจิตวิญญาณของฝั่งลิลิธ ตัวแทนฝั่งผู้หญิง
  • คาโอรุน นั่งอยู่ใน entry plug ที่เชื่อมต่อกับ Adam Core
    • สถานะของคาโอรุจึงเป็นเหมือนกับจิตวิญญาณของฝั่งอดัม ตัวแทนฝั่งผู้ชาย
สังเกตว่าสีที่เขาเลือกใช้นั้นจะตรงกับประจำตัวของลิลิธและอดัมด้วยเช่นกัน

สถานะของอีวา 13 – ก่อนกินเทวทูต

   เมื่ออีวาถูกสร้างเสร็จแล้ว ก็ใช่ว่ามันจะสามารถก่อ Impact ได้ในทันที เพราะอีวา 13 มันไม่มีวิญญาณและไม่เคยหลอมรวมวิญญาณกับใครมาก่อนเลย และถึงมันจะเป็นลูกผสมก็ใช่ว่าร่างกายของมันจะเป็นอดัมและลิลิธตัวจริง เพราะมันก็ถูกโคลนนิ่งขึ้นมาเช่นกัน ทำให้สถานะตอนนี้ของมันคือภาชนะที่ว่างเปล่าและ กำลังหลับไหลอยู่ ดังนั้นเก็นโดจึงต้องหาวิธีทำให้มันลืมตาตื่นขึ้นโดยการกลืนกินวิญญาณคาโอรุที่เป็นอดัมเข้าไป รวมถึงการลงไปเอาเลือดเนื้อของอีวา 06 และ ลิลิธ ที่ถูกผนึกอยู่ใน Central dogma ด้วย
  • ความสมบูรณ์ของ Adam
    • Adam Vessel อีวา 13 (ปลอม)
    • Adam Soul คาโอรุ (จริง)
    • Adam Core แกนกลางของ 13
  • ความสมบูรณ์ของ Lilith
    • Lilith Vessel อีวา 13 (ปลอม)
    • Lilith Soul ชินจิ (ปลอม)
    • Lilith Core แกนกลางอีวา 13
  • กายและใจจะผูกติดกันด้วย Coreแกนกลาง
    • อีวา 13 เป็นร่างหลักที่รวบรวมส่วนประกอบต่างๆ
ภาพของอีวา 13 ที่ถูกนำออกมาจากสิ่งที่เป็นเหมือนกับถุงน้ำคล่ำ

การตื่นของอีวา 13 ไม่ได้แตกต่างจากอีวา 01 มากนัก หลายๆปริศนาในเรื่องนี้มักมีลักษณะเหมือนการเรียนการสอนที่คุณครูมักจะให้ลองทำโจทย์คณิตศาสตร์ที่มีสูตรการคิดเหมือนเดิมแต่แค่เปลี่ยนตัวแปร แล้วเปลี่ยนตัวแปรให้แตกต่างกัน หากวิเคราะห์ดีๆเราก็จะเจอการเชื่อมโยงที่เหมือนกันในแต่ละเหตุการณ์

สิ่งหนึ่งที่แตกต่างคือ อีวาตัวนี้สามารถเปลี่ยนโหมดการทำงานได้สองโหมดคือ อดัม กับ ลิลิธ และเพราะว่ามันใช้นักบินสองคนในการขับหากเกิดมีนักบินคนใดคนหนึ่งสามารถปลุกพลังหรือหลวมรวมกับมันขึ้นมาได้ อีวาตัวนี้ก็จะเปลี่ยนโหมดเป็นรูปแบบของคนๆนั้นทันที

เข้าสู่ Central Dogma

   การที่ Cental dogma ถูกปิดผนึกน่าจะเกิดขึ้นจากพลังของอีวา 06 และลิลิธ ดังนั้นอีวา 13 จึงถูกสร้างให้ฝ่าเข้าไปโดยเฉพาะ ด้วยการสร้าง A.T.Field พิเศษขึ้นมาที่เกิดจาก คนสองคนเช่นกัน แต่ว่าอีวาตัวนี้ไม่มีวิญญาณในร่างให้เชื่อมต่อเพื่อสร้างสนามพลัง ดังนั้นมันจึงมีระบบ Dummy system ที่ทำงานเป็นตัวกลางระหว่างคนกับอีวาเพิ่มเข้ามาแทน
  เพื่อป้องกันการสับสนของเส้นบรรทัดโน๊ตดนตรีที่เปรียบเสมือนกับการซิงโครไนส์ของอีวาตัวนี้ ผมจึงเลือกเอาเส้นบรรทัดที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของมันมาอธิบายก่อน

  จากภาพจะเห็นว่าเส้นการเชื่อมจิตของ ชินจิ PIlot B จะถูกส่งไปที่ Dummy A ฝั่งคาโอรุ จากนั้น Dummy A จะส่งข้อมูลให้ คาโอรุ PIlot A เหมือนกับการเปลี่ยน "แผ่นเพลง" แล้วคาโอรุก็ส่งสัญญาณกลับไปหา Dummy B ฝั่งของชินจิ แล้วก็เปลี่ยนแผ่นเพลง ส่งให้ชินจิ เช่นกัน วนลูปกันจนเกิดเป็นสัญลักษณ์ Infinity  

  และเมื่อการเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์อีวาจะก็จะสามารถสร้าง A.T.field ขึ้นมาใช้ได้ โดยส่งตรงมาจากจิตของทั้งสองที่ไขว้กันตรงกลางนั่นเองครับ วงกลมที่อยู่ตรงกลางจึงเปรียบเสมือน Core ที่เป็นจุดกำเนิดของสนามพลัง หากการเชื่อมต่อของคนใดคนหนึ่งขาดไป อีวาก็จะไม่มี A.T.field
ปล. รู้หรือไม่ว่าจักระสามารถแปลงเป็นตัวโน๊ตได้ด้วย ดังนั้นการเล่นเปียโนของทั้งสองจึงเสมือนกับการตั้งสมาธิและปลุกพลังของตัวเองขึ้นมาแล้วส่งต่อผ่านไปให้อีวา 13 ตามวิถึของกุลฑาลินี โยคะ
นึกถึงการซ้อมเปียโนให้ออกสิ
  • สัญลักษณ์ infinity อันใหญ่ที่อยู่ด้านหลังสุดของห้องขับสื่อถึงการผสานจิตของทั้งสองคน
  • เส้นบรรทัดที่ขดวนอยู่ด้านหลังที่นั่งของนักบินแล้วยื่นไปด้านหน้าสองข้าง สื่อถึงมือสองข้างที่จับคันบังคับว่าเป็นมือที่วางอยู่บนคอร์ดเปียโน
This image has an empty alt attribute; its file name is 333333.mkv_snapshot_01.06.07.841.jpg
  ในเวอชั่นดราฟ ทั้งคาโอรุและชินจิจะต้องขับอีวา 13 ไปพร้อมๆกับการเล่นเปียโนด้วย 
   ถึงแม้อีวาตัวนี้จะสามารถขยับได้แต่มันก็เชื่องช้าเอามากๆ  ความเชื่องช้าและความระมัดระวังนี้อาจเป็นเพราะชินจิเคยขับอีวาตัวนี้เป็นครั้งแรก หรือไม่ก็คิดเผื่อไปว่าจะเหลือแค่ชินจิขับคนเดียว
เก็นโดไม่ได้นิ่งนอนใจขึงได้ใส่อุปกรณ์ช่วยต่อสู้เสริมเข้ามาด้วย เพราะคิดว่ายังไงซะก็ต้องต่อสู้กับฝั่งของมิซาโตะแน่ๆ

การดึงหอก

   หลังจากที่ทั้งสองลงมาได้แล้ว คาโอรุเริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติของหอกและแผนการแฝงบางอย่างของเก็นโดทำให้เขาอยากล้มเลิก แต่ทว่าชินจิกลับไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ซึ่งมันอาจดูงี้เง่า เอามากๆ ...แต่ทุกคนควรเข้าใจจิตใจของชินจิไว้ด้วยว่า ชินจินั้นสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไปกับเหตุการณ์ Third impact มากมายขนาดไหน ทั้งความเชื่อมั่นของเพื่อนพ้องที่จากมิตรกลายเป็นศัตรู ปอกคอที่สามารถฆ่าเขาได้ทันที ของเรย์คนเก่าที่ไม่อยู่อีกแล้ว และโลกที่ยับเยินจากผลกระทบอันเกิดจากตัวเขาเป็นต้นเหตุที่ไปปลุกอีวา 01 

   ดังนั้น ความหวังเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นที่ชินจิได้รู้ก็คือ "การดึงหอก" ถึงแม้ชินจิจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อดึงออกมาแล้วต้องทำยังไงกับมันต่อ แต่เป็นเพราะความหวังที่ได้มามันมาจากคนที่เขาเชื่อใจที่สุดในตอนนั้นอย่าง คาโอรุ เขาจึงไม่กังขาใดๆ สมองของชินจิจึงรับรู้แค่อย่างเดียวว่า ต้องดึงหอกทั้งสองเล่มออกมาให้ได้แล้วทุกอย่างจะได้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ถึงแม้คาโอรุจะห้ามไว้ก็ตาม แต่ในสถานะการนั้นมันเลือกได้แค่ หยุด หรือ ดึงหอก และการดึงหอกคือ ความหวังของชินจิ เขาจึงไม่ลังเลใดๆ

คาโอรุ : ช่างมันเถอะ นั่นไม่ใช่หอกของพวกเรา
ชินจิ : ไม่ใช่หอกของพวกเรางั้นเหรอ
ชินจิ : ก็นายเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่ามันจำเป็น
ชินจิ : เพราะงั้นผมถึงได้ยอมบังคับอีวาอีกครั้ง
คาโอรุ : ระบบควบคุมถูกปลดออกเหรอ
ชินจิ : เราจะต้องได้หอกมา เพื่อคาโอรุคุงเพื่อทุกคน
ชินจิ : ถ้าทำแบบนั้นโลกก็จะกลับคืนมา ถ้าทำอย่างนั้นล่ะก็ คุณมิซาโตะก็จะ…

   ในฉากนี้อารมณ์และจิตใจของชินจิเป็นตัวกระตุ้นให้โหมดลิลิธเริ่มทำงาน คาโอรุจึงถูกตัดออกจากระบบควบคุมโดยไม่ได้ตั้งใจ และชินจิคือผู้ควบคุมอีวา 13 อย่างสมบูรณ์ แล้วทุกคนคิดว่าบมันคล้ายกับเหตุการณ์ไหนกัน ? คำตอบคือ ตอนที่ชินจิต้องการที่จะช่วยเรย์และเผลอไปปลดลิมิเตอร์ของอีวา 01 นั่นเองครับ 
   อีวา 13 ได้เริ่มใช้งานมืออีกคู่หนึ่ง และถ้าทุกคนสังเกตปุ่มสีแดงที่อยู่บนหลังมือ  ทุกคนจะเห็นว่ามันเกิดการเรืองแสงและหมุนวนเหมือนกับชุดปลั๊กสูทรุ่นใหม่ตอนที่ช่วยปลดลิมิเตอร์ด้วยเพื่อ  บอกเป็นนัยว่าโหมดลิลิธตื่นขึ้นแล้วและได้เผยให้เห็นตำแหน่งของ Lilith Core ที่ปกปิดเอาไว้เช่นกัน

หากมีสิ่งที่ไม่รู้เกิดขึ้น ก็ต้องหาสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหรือคล้ายกันมาเปรียบเทียบและตีความ “แพทเทิร์นเกิดขึ้นซ้ำๆเสมอ” นี่คือหลักการของผมใช้ในการหาคำตอบของฉากนี้และฉากอื่นๆ

ร่างกายที่มีตัวตนและไร้ตัวตน

   ตอนที่อีวา 13 ตื่นขึ้นในโหมดของลิลิธ มาริได้ยิงกระสุนเจาะ A.T.field เข้าใส่แต่ปรากฏว่าอีวาตัวนี้ไม่มีสนามพลังไว้คอยป้องกันลูกกระสุนเลย 

  ซึ่งผมได้บอกเหตุผลไปแล้วว่าสนามพลังของอีวา 13 เกิดขึ้นจากการผสานกันของ ชินจิและคาโอรุ > Dummy system ที่ทำงานอยู่ด้านหลังที่นั่งนักบิน ซึ่งสนามพลังนั้นมันได้หายไปแล้ว ในตอนที่ระบบควมคุมของคาโอรุถูกปลดออกครับ 
]
  แสงวงกลม คือ แสงที่บ่งบอกว่าระบบ dummy system กำลังทำงานอยู่เมื่อมันดับลงจึงเท่ากับว่าอีวา 13 ไม่มีสนามพลังอีกต่อไปแล้ว
   แต่ว่าถ้าไม่มีสนามพลัง ลูกกระสุนก็ควรเจาะเข้าร่างกายหรือเกิดรอยแผลสิ ? ทำไมกระสุนถึงทะลุผ่านไปหละ ? นั่นเป็นเพราะร่างกายของอีวาตัวนี้มันอยู่ในสถานะ มีตัวตนและไม่มีตนตัวในเวลาเดียวกันครับ 
   สถานะแบบนี้เคยเกิดกับอีวา 01 มาแล้ว ในตอนที่มันตื่นขึ้น หากย้อนไปดูฉากนั้น ทุกคนจะได้ยินมายะพูดว่า "อะไรกันลิมิเตอร์ทางกายภาพของอีวาหายไปแล้วไม่สามารถวิเคราะห์ได้เลย" 

  ซึ่งหมายความว่า อีวา 01 ไม่มีตัวตนอยู่ ทั้งๆที่ทุกคนก็ยังมองเห็นมันอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ว่ามันก็ยังสามารถยืนอยู่บนตัวเทวทูตได้และดึง Core ของอีวา 00 ออกเหมือนกับมีตัวตนอยู่ เสมือนความจริงและจินตนาการรวมกันจนแยกแยะอะไรไม่ออก และมันก็ไม่ต่างกับอีวา 13 ในตอนที่โดนกระสุนยิงใส่ในฉากนี้เลย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่คล้ายกัน
อีกฉากหนึ่งที่คล้ายกันมาจากภาค EOE ในตอนที่เรย์ยักลอยตัวทะลุทุกอย่างขึ้นมา

ตำแหน่งที่ถูกแทนที่

ทำไมคาโอรุที่เป็นเทวทูตตนที่ 1 ถึงกลายเป็นเทวทูตตนที่ 13 ได้ 

   เข้าสู่เรื่องที่ทุกคนข้องใจกันที่สุด ซึ่งเป็นฉากต่อมาหลังจากหอกถูกดังออก และอย่างแรกเลยที่ผมให้ทุกคนสังเกตคือ ชินจิไม่สามารถขยับอีวา 13 ได้เลยหลังจากดึงหอกออกมา ทั้งๆที่ก่อนเขาเพิ่งจะควบคุมหุ่นตัวนี้คนเดียวแท้ๆ.. ซึ่งมันหมายความว่าตอนนี้อีวา 13 ถูกสลับโหมดการทำงานไปเป็นโหมดของอดัมแล้วนั่นเองครับ
  • คาโอรุในตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
    1. Vessel ร่างกายถูกตรวจจับว่าเป็นเทวทูตตนที่ 13
    2. Soul วิญญาณของคาโอรุถูกนำใปเชื่อมต่อกับอีวา 13
  • ใครเป็นคนทำ
    • อิคาริ เก็นโด
  • ทำด้วยวิธีการใด
    • ใช้กุญแจกเนบูคัตเนสซ๋า
   จากพาทที่ 2 - กุญแจแห่งเนบูคัตเนสซ่า เป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้ใช้ เชื่อมต่อตนเองกับพระเจ้า เพราะ เนบูคัตเนสซ่าคือผู้บูชาเทพมาดุกเทพซึ่งเป็นเทพประจำเมืองบาบิโลน ดังนั้นมันจึงมีเอาไว้เพื่อ เชื่อมต่อผู้ใช้ไปหาอดัม และอดัมหรือเทพมาร์ดึกในเหตุการณ์นี้ก็คือ คาโอรุ 

  เมื่อเชื่อมต่อและควบคุมคาโอรุได้ เก็นโดก็ได้ทำการบังคับให้วิญญาณของคาโอรุหลอมรวมเข้ากับอีวา 13 ด้วยพลังของเขาอีกทีหนึ่ง จึงทำส่วนที่เป็นร่างกายถูกลดลำดับขั้นกลายเป็นเทวทูตธรรมดาและโดนตรวจจับทันที เพราะคาโอรุใช้พลังของตนเอง และนี่คือสาเหตุที่ฃินจิไม่สามารถขยับอีวา 13 ได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้เก็นโดเป็นคนควบคุมอีวา 13 ผ่านคาโอรุอยู่
  เลือดของลิลิธที่พุ่งกระจายออกมาเป็นฝนถูกโชลมลงบนร่างกายของเก็นโด จนทำให้เขาในตอนนี้เป็นเสมือนดั่งกับพระเจ้าไปแล้ว และมันคือสัญญาณของการเริ่มต้นแผนการของเขา
อีวา 13 ที่ลอยตัวอยู่เป็นผลมาจากสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นเหมือนกับตอนที่อีวา 01 ตื่นขึ้น 
อีวา 13 ที่ลืมตาตื้นขึ้น(awakening)เริ่มการวิวัฒนาการจากการสร้าง"ปีก"ขึ้นมาสองข้างที่ไหล่
   ข้อสังเกต - หากย้อนไปในช่วงแรกที่ชินจิเพิ่งจะเข้ามาในฐานทัพเนิร์ฟ เก็นโดที่ยังไม่ได้ใช้กุญแจจะยังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่เงยหน้ามองเซเล่อยู่เบื้องล่าง แต่ในช่วงท้ายของเรื่องเมื่อเก็นโดใช้กุญแจแล้ว เขาจะลอยตัวอยู่เสมอพวกเซเล่ ซึ่งนี่คือนัยยะสำคัญที่สื่อถึงฐานะของเขาว่า
ตัวเขาได้กลายเป็นพระเจ้าเทียบเท่าเซเล่แล้ว

พลังของอดัม

   สาเหตุที่กุญแจสามารถผูกมัดและเชื่อมต่อวิญญาณได้ เป็นเพราะกุญแจดอกนี้คือตัวอ่อนของวิญญาณอดัม และพลังของอดัมก็คือ การแทรกแทรงและเชื่อมต่อวิญญาณ ซึ่งเป็นพลังเดียวกันกับที่คาโอรุเคยใช้ในภาค NGE ตอนที่ 24 

   ในฉากนั้นคาโอรุได้ใช้พลังของตนเข้าควบคุมอีวา 02 และพูดถึง การรวมร่างกันได้หากร่างนั้นไม่มีวิญญาณ แต่ทว่าอีวา 02 มีวิญญาณของแม่อาสึกะอยู่แล้วจึงทำได้แค่ควบคุมร่างกายได้เพียงอย่างเดียว
แต่กับอีวา 13 ที่ไม่มีวิญญาณอยู่ในร่างเลย คาโอรุถูกเก็นโดควบคุมให้ใช้พลังเทวทูตของตัวเองรวมวิญญาณของเขากับอีวา 13 ในทันที

   นี่คือการเล่าเพื่อให้เห็นภาพว่าทำไมคาโอรุถึงถูกผลักดันให้เป็นเทวทูตตนที่ 13 แต่อันที่จริงแล้ว Soul และ Vessel ทั้งสองส่วนยังอยู่ที่ตัวคาโอรุอยู่ ดังนั้นปลอกคอ DSS Choker จึงตรวจจับเทวทูตได้แค่คนเดียวคือ เทวทูตตนที่ 13 คำพูดที่บอกว่า "จุดเริ่มต้นและจุดจบมันเหมือนกันงั้นสินะ" หมายถึงตัวเขาในตอนนี้ที่เป็นทั้งเทวทูตตนที่ 1(อีวา13) และเทวทูต  13(เทวทูตตนใหม่) ในคราวเดียวกัน 

“ไม่นึกเลยเทวทูตตนที่ 1 อย่างฉัน จะถูกผลัดดันให้กลายเป็นเทวทูตตนที่ 13 จุดเริ่มต้นและจุดจบมันเหมือนกันงั้นสินะ” 

ก่อนที่จะตายชินจินึกโทษตัวเองที่ไปดึงหอกแต่คาโอรุบอกว่าเป็นเพราะเขาต่างหากที่เป็นทริกเกอร์

ปริศนาคำพูดของเก็นโด

   เสริมอีกนิดกับฉากสลับตำแหน่งเพราะมันจะมีคำพูดหนึ่งของมาริ พูดไว้ว่า "สิ่งที่เก็นโดคุงเล็งไว้คือสิ่งนี้เหรอ" เป็นคำพูดที่ไม่มีคำตอบและหลายคนได้แต่เดาจุดประสงค์ของเก็นโดไปต่างๆนาเอาเอง แต่ถ้าหากเราลองเปรียบเทียบฉากนี้กับอีกฉากหนึ่งที่คล้ายกัน ในภาค 3.0+1.0 มันจะมีคำพูดที่เป็นคำตอบของคำถามนี้อยู่ 

   และมันก็มาจากคำพูดของมาริที่ตกอยู่ในสถานะการเดียวกันกับในภาค 3.0 นี้เลย นั่นคือ ตอนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนเก็นโดซ้อนแผน และฉากที่ว่าก็คือตอนที่อาสึกะใช้พลังของเทวทูตเพื่อทำลายสนามพลังของอีวา 13 นั่นเอง ถามว่ามันเป็นคำตอบยังไง ลองมาดูบทสนทนาในฉากนั้นกัน 
  • คาโอรุ – 3.0
    • เกิดรูปแบบสีน้ำเงินที่ DSS COKER เหรอ (เทวทูตตนที่ 1)
    • สิ่งที่เก็นโดคุงเล็งไว้คือสิ่งนี้เหรอ
  • อาสึกะ – 3.0+1.0
    • กรุ๊ปเลือดสีน้ำเงิน (เทวทูตตนที่ 9)
    • ไม่นะ เก็นโดต้องการให้องค์หญิงกลายเป็นเทวทูตแต่แรกอยู่แล้ว
   ทั้งสองฉากมีความคล้ายกันทั้งบทพูดและสถานการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังเทวทูตจนทำให้เครื่องมือตรวจจับกรุ๊เลือดได้ ซึ่งถ้าลองเอามาเชื่อมโยงกัน มาริจะเป็นทั้งคนตั้งคำถามและตอบคำถามนี้ด้วยตัวเอง มันคือ การเทคนิคการเล่าเรื่องที่ทิ้งปริศนาไว้และนำคำตอบไปใส่ไว้อีกฉากหนึ่งที่มีสถานการณ์คล้ายกันกับฉากแรกนั่นเอง

   สรุปว่า สิ่งที่เก็นโดเล็งไว้ ก็คือ การบังคับให้คาโอรุใช้พลังของเทวทูตของตนเองหลอมรวมวิญญาณตัวเองกับอีวา 13

เลือดและเนื้อ

   ต่อจากที่เล่ามา ตอนนี้ทุกคนได้รู้เป้าหมายของเก็นโดแล้วว่า 1.เก็นโดต้องการดึงหอก 2.รวมวิญญาณของคาโอรุ แต่มันยังไม่หมด เพราะผลพวงของการดึงหอกนำมาซึ่งเป้าหมายที่ 3 คือการรับเอาเลือดเนื้อของอดัม Adam Vessel จากร่างอีวา 06 และ Lilith Vessel จากร่างของลิลิธ เข้ามาไว้ในอีวา 13 โดยใช้เทวทูตตนที่ 12 เป็นตัวดำเนินการ

   ซึ่งเก็นโดคือคนที่สั่งให้ เรย์ Q เป็นคนเริ่มต้นกระบวนการที่ว่า ข้อสังเกตคือ ปกติแล้วเธอคนนี้จะไม่ทำอะไรเลยถ้าไม่ได้รับคำสั่ง แม้แต่ชินจิชวนคุยหรือชวนไปไหนเธอก็จะถามกลับว่า ถ้าเป็นคำสั่งก็จะทำ ตัวตนของเธอจึงเป็นเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งค่า แต่ในฉากที่อีวา 09 ใช้เคียวตัดหัวอีวา 06 ออกเพื่อปลดปล่อยเทวทูต เราจะได้ยินเรย์พูดคำหนึ่งขึ้นมาว่า "นี่คือคำสั่ง" 
และนี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เธอลงมาใน Central dogma ด้วย ไม่ใช่แค่เพราะคุ้มกันอีวา 13 แต่เธอลงมาเพื่อตัดหัวอีวา 09 โดยเฉพาะ
   หลังจากหอกถูกดึงออกมา ร่างกายของลิลิธที่แตกกระจายจะกลายเป็นเลือดเข้าท่วมเต็มพื้นที่ห้อง แล้วเทวทูตที่ลอยอยู่จะดูดซับเอาเลือดของลิลิธเข้าไป ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้ เทวทูตได้บรรจุเลือดของลิลิธและเลือดของอดัมเอาไว้ในตัวแล้ว เหลือแต่เพียงให้อีวา 13 กินเข้าไปก็จะได้ร่างเนื้อที่สมบูรณ์

   สิ่งที่เราจะสังเกตุคือฉากนี้ - หลังจากเทวทูตได้รับเลือดของลิลิธรูปร่างของเทวทูวจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าของผู้หญิงเพื่อสื่อถึงลิลิธ และมันคือฉากเดียวกันกับตอนที่ Core ของเทวทูตตนที่ 10 แตกออกแล้วรวมกันเป็นร่างผู้หญิงในภาค 2.0 เช่นกันเราสามารถเทียบทั้งสองเหตุการณ์นี้ได้ 
    ร่างของเทวทูตจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จนมีลักษณะเหมือนกับ "ตัวอ่อนของเด็กในครรภ์" (ภาพซ้าย) และรูปร่างนี้ก็เป็นไปตามการตีความในหนังสือเดดซีที่ผมได้อธิบายไว้ว่าการรวมกันของทั้งสองสายเลือด(ลิลิธกับอดัม) มันคือการมี SEX และ "การให้กำเนิดเด็ก" และเด็กคนนั้นก็คืออีวา 13 (เปรียบเทียบกับภาพทางขวา ตัวอ่อนทารกในครรภ์) 
อีวาเกเลี่ยนจินตนาการ
อีวา 13มนุษย์
อีวาที่เกิดจากโคลนนิ่งอดัมและลิลิธเด็กทารกที่เกิดจากพ่อและแม่
เมื่อกินเทวทูตเข้าไปแล้ว อีวา 13 ก็จะตื่นขึ้น ในที่สุดเซเล่กับเก็นโดก็สร้างพระเจ้าของพวกเขาได้สำเร็จ หนทางของพวกเขาเปรียบเสมือนกับมนุษย์ธรรมดาที่เดิทางนไปตามเส้นของของต้นไม้แห่งชีวิตเพื่อไปถึงพระเจ้า 

ขั้นตอนนี้เรียกว่า Pseudo-Evolution แปลตรงตัวเลยคือ วิวัฒนาการหลอก หรือ วิวัฒนาการเทียม 

การตีความใหม่ของภาค ROE

   สาเหตุที่ร่างลิลิธแตกกระจายเมื่อหอกถูกดึงออกมา เป็นเพราะว่า Core ของลิลิธถูกทำลายไปแล้ว และหอกคือตัวหยุดยั้งไม่ให้ร่างกายของลิลิธแตกสลาย
   ภาพจากสตอรี่บลอดด้านล่างแสดงให้เห็นว่า หอกได้แทงเข้าไปที่ Core ของลิลิธ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ลิลิธมีจะต้อง Core เพราะเป็นศูนย์รวมของร่าง แต่ Core ของลิลิธจะแอบซ่อนอยู่ภายในร่าง เมื่อมองจากภายนอกจึงมองไม่เห็น และการไม่มี Core ปรากฏอยู่ภายนอกก็เป็นเรื่องปกติที่เห็นได้ทั่วไปจากเทวทูต เพราะก็มีเทวทูตอยู่หลายตัวเหมือกันที่ไม่แสดง core ให้เห็นออกมาภายนอก ยกตัวอย่างในภาคเก่า Metarael Leliel Ireul bardiel armisael
 
   ดังนั้นผมจึงบอกว่า Core ในภาค ROE ไม่ได้ถูกตีความว่าเป็น Fruit of Life อีกต่อไปแล้ว แต่ FOL จะถูกตีความว่าเป็น DNA และของเผ่าพันธ์ุอดัมแทน เหมือนกับกรุ๊ปเลือดของคน และถึงแม่ในตอนหลังจะสามารถพัฒนา Core จนทำให้มันมีพลังงานอนันต์ได้เหมือนกับ FOL 

  แต่มันก็ไม่ถูกนับว่าเป็น FOL อีกต่อไปอยู่ดี เพราะว่ามันคือเทคโนโลยีไม่ใช่ข้อมูลชีวะภาพ และนี่คือสาเหตุที่พิธีกรรมที่สมบูรณ์จำเป็นจะต้องสังเวยเทวทูตเท่านั้นเพราะเทวทูตสืบเชื้อสายที่มี FOL มาจากอดัม

  ส่วนสาเหตุที่ทำไมต้องสังเวยเทวทูตเพื่อเอา FOL มาใช้ในพิธีกรรม โปรดติดตามต่อในพาทสุดท้าย ซึ่งจะอธิบายถึงเป้าหมายและกระบวนการทุกอย่างเกี่ยวกับพิธีกรรมอย่างครบถ้วน

เพิ่มเติมเกี่ยวกับสายเลือด

   FOL&FOK สองสายเลือดที่ต้องรวมกันถึงจะกลายเป็นพระเจ้า เมื่อมองในมุมมองของเหตุและผลมันฉุดคิดไม่ได้ว่าทำไมเซเล่และเก็นโดต้องทำอะไรซับซ้อนแบบนี้เพื่อให้สองเผ่าพันธ์ุมารวมกัน ทั้งๆที่จริงแล้วก็แค่โคลนนิ่งอีวามาจากต้นแบบแล้วเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดเข้าไป หรือเอานักบินที่เป็นมนุษย์ยัดเข้าไปในอีวาก็จบแล้ว ซึ่งพวกเขามีอีวาที่โคลนนิ่งมาจากพวกนี้เต็มไปหมดให้เลือกใช้ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเซเล่ไม่ได้ทำอย่างงั้น แสดงว่ามันต้องมีกระบวนการที่ถูกต้องอยู่
   และสาเหตุมันเกี่ยวกับสถานะ ตัวจริง และ ตัวปลอม ที่ผมได้อธิบายไปนั่นเอง พูดง่ายๆคือ ไม่ว่าอีวา(FOL)จะรวมกับอีวา(FOK) หรือว่า อีวา(FOL)จะรวมกับมนุษย์(FOK) หรือสลับตัวแปรสักเท่าไร ก็เป็นได้แค่ "ของเลียนแบบ" หรือ ภาพสะท้อนของพระเจ้า ที่มองผ่านกระจกเงา เพราะทั้งสองมีสถานะเป็นลูกหลานหรือโคลนนิ่งที่อยู๋ในเจเนเรชั่นรองลงมา (Type-Fruit)  ดังนั้นการจะเป็นพระเจ้าที่แท้จริงได้ 

จึงจำเป็นจะต้องใช้เลือดเนื้อแท้ๆที่มาจากตัวของอดัมและลิลิธที่เป็น FOL กับ FOK (Type-Seed)เท่านั้น 

   แต่การมีแค่เลือดเนื้อ(Vessel)ที่แท้จริงเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถเรียกได้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ เพราะถ้าพูดกันตามความจริงในเรื่องของความเป็นคน ร่างกายภายนอกของคนเรามันเป็นเพียงเปลือกและอินทรีย์วัตถุ สิ่งที่กำหนดว่าเราเป็นใครหรือเรามีตนตนเป็นอะไรจริงๆคือ 
จิตวิญญาณ(Soul) เท่านั้น

สถานะของอีวา 13 หลังกินเทวทูต

  • ความสมบูรณ์ของ Adam
    • Adam Vessel อีวา 06 (จริง)
    • Adam Soul คาโอรุ (จริง)
    • Adam Core แกนกลางของ 13
  • ความสมบูรณ์ของ Lilith
    • Lilith Vessel ลิลิธ (จริง)
    • Lilith Soul ชินจิ (ปลอม)
    • Lilith Core แกนกลางอีวา 13
  • กายและใจจะผูกติดกันด้วย Coreแกนกลาง
    • อีวา 13 เป็นร่างหลักที่รวบรวมส่วนประกอบต่างๆ
   ดังนั้นอีวา 13 ที่มีทั้ง กายเนื้อของอดัมและลิลิธ ที่กำลังทำงานอยู่ใหมดพระเจ้าในตอนนี้ 
จึงไม่ใช่พระเจ้า(F.A.R.) ที่สมบูรณ์ แต่เป็นเพียงแค่ อดัมที่สมบูรณเพราะขาดวิญญาณของลิลิธ  (บางคนอาจสงสัยว่า ถ้าอีวา 13 ไม่สมบูรณ์แล้วมันประกอบพิธีกรรมได้ยังไง ตรงจุดนี้ผมขอยกไปอธิบายอีกทีในพาทหน้าครับ เพราะทุกคนอาจไม่สังเกตุเห็นถึงสิ่งที่เซเล่เตรียมเอาไว้)
ภาพสตอรี่บอร์ดเวอร์ชั่นแรกของอีวา 13 ที่ตื่นขึ้นในฐานะอดัมหลังจากปลอกคอของคาโอรุระเบิด โดยใช้สีฟ้าเป็นแกนหลัก
   เมื่อย้อนกลับไปดูส่วนประกอบของอีวา 01 ก็จะเข้าใจว่าทำไมอีวา 01 ถึงตื่นขึ้นเป็นตัวแทนของลิลิธ เพราะส่วนประกอบในตอนนั้นมีแค่ลิลิธที่สมบูรณ์เพียงอย่างเดียว 
   
   อีวา 13 ที่มีวิญญาณของอดัมอยู่ในร่างได้ตื่นขึ้นเป็นอดัมที่สมบูรณ์ และเริ่มเปิดประตูแห่งกัฟทันที สิ่งเดียวที่จะช่วยหยุดเหตุการณ์นี้ได้ก็คือการเสียสละของคาโอรุ ด้วยการใช้พลังของเทวทูตเฮือกสุดท้ายควบคุมอีวา 13 ให้ใช้ หอกผนึก(หอกปลายแหลม)ปักใส่ร่าง เพื่อหยุดการทำงาน อีกทั้งยังเป็นการจบชีวิตของเขาด้วยเพราะปลอกคอจับสัญญาณการข้ามขีดจำกัดและตื่นขึ้นของคาโอรุจากการใช้พลังของเทวทูตได้ เมื่อร่างกายที่บรรจุวิญญาณตายไป วิญญาณของคาโอรุจึงรวมกับอีวา 13 อย่างสมบูรณ์ (ดวงตาของอีวา 13 จะหายไป 1 คู่)
เมื่อใช้งาน หอกผนึก หอกจะเปลี่ยนจากรูปร่างกลายเป็นหอกปลายแหลม ซึ่งเป็นหอกลักษณะเดียวกันกับที่ผนึกร่างของอีวา 06 และลิลิธ ผมคิดว่ารูปร่างของหอกผนึกคือรูปร่าง มาตรฐานของหอก(ความเป็นกลาง) ก่อนที่มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นรูปร่างอื่น
   แต่ปรากฏว่าประตูแห่งกัฟไม่ได้ปิดตัวลง สาเหตุก็เพราะอีวาตัวนี้ทำงานด้วยวิญญาณ 2 ดวง ซึ่งสามารถดูได้จากดวงตาของอีวาเอง
  • ดวงตาคู่ล่างเป็นดวงตาของอดัม
  • ดวงตาคู่บนที่เป็นตาของลิลิธ
   เมื่อคาโอรุตายดวงตาของอดัมจะปิดลงและเมื่อมาริดึงชินจิออกมาดวงตาของลิลิธก็จะปิดลงเช่นกัน สาเหตุที่ประตูแห่งกัฟไม่ปิดตัวลงเมื่อคาโอรุตายเพราะมีชินจิทำหน้าที่เป็นวิญญาณของอีวาอยู่ทำให้อีวายังทำงานได้ 
   ผมเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Near Fourth impact เพราะมันไม่ใช่พิธีกรรมที่สมบูรณ์ ซึ่งจุดประสงค์ของเก็นโดมีเพียงแค่การปลุกอีวา 13 ด้วยการฆ่าคาโอรุ เพื่อให้วิญญาณของคาโอรุถูกผนึกรวมกับอีวาจนกลายเป็นอดัมคตนใหม่ กับดึง Black moon ออกมาเพื่อใช้ในพิธีกรรมของจริงที่จะเกิดขึ้นที่ขั้วโลกใต้
 

ความจริงและจินตนาการ

   ต่อไปจะเข้าสู่เนื้อหาของการตีความว่า ฉากการลืมตาตื่นของอีวา 13 นั้นได้เค้าโครงมาจากเรื่องราวอะไร...คำตอบคือ การถ่ายทอดพันธุกรรม (Central Dogma) ใช่ครับฟังไม่ผิด จินตนาการที่เป็นเค้าโครงของเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีที่มาจากเรื่องเล่าหรือตำนานอะไรทั้งสิ้น
แต่มันคือสิ่งที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่ากันด้วยเหตุและผล และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับแต่ละฉากที่ผมวิเคราะห์ มันจะช่วยให้เราเข้าใจตัวตนและการทำงานของมันมากยิ่งขึ้น

Central Dogma

   ภาพด้านล่างมาจาภฉากที่มิซาโตะพาชินจิลงไปดูลิลิธในภาค 1.0 ซึ่งเก็บซ่อนไว้ใต้ฐานเนิร์ฟในชั้นที่ชื่อว่า Central Dogma ซึ่งจะเห็นว่าภูมิทัศน์รอบๆบริเวณโพรงของลิลิธ มันจะมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อบางอย่างคล้าย หรือไม่ก็คล้ายอวัยวะภายในของบางสิ่ง.....อันที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าผู้สร้างต้องการตีความให้สถานที่นี้คือ เซลส์ของมนุษย์ ครับ 
ภาพจำลองเซลส์ของมนุษย์

สาเหตุที่เว็บไซต์นี้ตั้งชื่อว่า leveleee มาจากชื่อระดับชั้นของชั้น central dogma ที่ชื่อว่า LEVEL : EEE หรือ level triple e นั่นเอง เพราะสถานที่แห่งนี้คือสถานที่เก็บความลับและความจริงที่ถูกปิดบังเอาไว้ ดังนั้นมันจึงเป็นเว็บที่รวมข้อมูลเชิงลึกที่สุดที่ไม่เคยมีใครหาได้พบมาก่อน และน้อยคนที่จะรู้

กลับเข้าเรื่อง....
   อีวา 13 เป็นอีวาที่สร้างด้วยการโคลนนิ่ง ในอีกความหมายคือ มันเป็น พระเจ้าตัวปลอม ไม่ต่างกับอีวา 01 และการจะทำให้มันเป็นตัวอดัมหรือลิลิธตัวจริงได้เหมือนอย่างที่อีวา 01 ทำในภาค 2.0 ก็คือ มันจะต้องคัดลอก DNA มาจากอีวา 06 และลิลิธที่เป็นตัวจริงเสียก่อน 
ซึ่งในทางวิทยาศาตร์นั้น การคัดลอกหรือการส่งผ่านสายพันธุกรรม ถูกเรียกว่า Central Dogma และมันคือชื่อเดียวกันชั้นลึกสุดในเหตุการณ์นี้นี่เอง

สารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอ (DNA)

   Central Dogma เป็นแนวคิดอธิบายหน้าที่หลักของดีเอ็นเอ โดยมีเนื้อความว่า ในสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แล้วข้อมูลทางพันธุกรรมจะถูกเก็บไว้ในรูปของดีเอ็นเอ(DNA) ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ดีเอ็นเอส่วนใหญ่อยู่ในรูปโครโมโซม (chromosome) วางตัวอยู่ ในส่วนนิวเคลียสภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ดีเอ็นเอมีหน้าที่สำคัญ 2 ประการ คือ
  1. การจำลองตัวเอง (DNA replication)
    • ดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิต มีความสามารถสร้างแลจำลองตัวมันเอง ขณะเกิดกระบวนการแบ่งเซลล์ พื่อสร้างดีเอ็นเอที่เหมือนเดิม ทุกประการให้แก่เซลล์ใหม่
  2. การถ่ายทอดข้อมูลผ่านอาร์เอ็นเอ (transcription)
    • ดีเอ็นเอสามารถถูกถอดรหัส เพื่อสร้างเป็นอาร์เอ็นเอ (RNA) อาร์เอ็นเอที่ได้นี้จะทำหน้าที่กำหนดการเรียงตัวของกรดอะมิโน ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน ซึ่งโปรตีนจะถูกนำมาเป็นส่วนประกอบสำคัญ ในโครงสร้างขององค์ประกอบต่างๆ ภายในเซลล์ และเป็นสารเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมี หรือเอนไซม์ (enzyme) ในสิ่งมีชีวิต
  3. ด้วยหน้าที่ทั้ง 2 ประการของดีเอ็นเอ ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถสืบทอดลักษณะประจำพันธุ์ และดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้
ดูคลิปด้านล่างนี้เพื่อเข้าใจความหมายของ Central Dogma มากขึ้น ช่วงเวลา 1.23 - 2.34  

ความสัมพันระหว่าง DNA Gene Chromatin และ Chromosome

   ยีนส์ Gene - เป็นหน่วยที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ DNA โดยในสภาวะที่ไม่มีการแบ่งเซลล์ DNA จะพันตัวอยู่บนก้อนโปรตีน Histone และขดตัวกันแน่นเป็นเส้นใยบางๆ เรียกว่า Chromatin ซึ่งเมื่อมีการแบ่งเซลล์จะยิ่งขดตัวแน่นขึ้นจนเป็นแท่งเรียกว่าแท่ง Chromosome
   ดูคลิปเพื่อเข้าใจโครงสร้างมากยิ่งขึ้น จากนั้นเราจะมาวิเคราะห์กันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอีวา 13
   จากคลิปวีดิโอด้านบน - เมื่อลองเจาะลึกเข้าไปในเซลส์และตีความสิ่งที่เกิดขึ้นในคลิปวีดิโอนี้กับฉากที่เทวทูตตนที่ 12 ออกมาจากอีวา 06 แล้วเริ่มพันตัวเองไปรอบๆตัวของอีวา 13 เราจะพบว่า มันคือฉากจำลองกระบวนการคัดลอก DNA ของมนุษย์ ด้วยหลักการของ Central dogma แบบที่ผมเพิ่งอธิบายไป

   Eva 06 คือ DNA ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนจากการโดนอีวา 09 ตัดหัว แล้วเทวทูตก็นำส่งข้อมูล DNA มาให้กับอีวา 13 ที่มีบทบาทเป็น โครโมโซม 
บริเวณหน้าอกของอีวา 13 จะเรืองแสงเป็นตัว X เหมือนกับแขนขาของโครโมโซม ส่วนที่เป็น core ตรงกลางเทียบได้กับ เซนโทรเมียร์
   เมื่อเข้าใจกระบวนการคัดลอก DNA ที่อีวา 13 ทำแล้ว เราก็มาถึงคำถามว่า คำสั่งที่สำเนาคัดลอกมาด้วยนั้นคืออะไร...คำตอบก็คือ "การสร้าง Impact" ซึ่งอีวา 13 ได้เริ่มทำงานทันทีหลังจากกินเทวทูตเข้าไป
   ประตูแห่งกัฟของอีวา 13 มีสีที่เหมือนกับประตูแห่งกัฟที่ขั้วโลกใต้เพราะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากร่างกายของผู้ทำพิธีที่มี DNA ของทั้งอดัมและลิลิธตัวจริงไหลเวียนอยู่ จึงสามารถแผ่รังสี ได้จากทั้งสองคน แดงและม่วง
กิมมิกเล็กน้อย - กระบวนที่เล่าไปทั้งหมดนี้ดำเนินไปทั้งหมด 3 ขั้นตอนเพื่อคัดลอก DNA
  • initiation stage (ขั้นเริ่มต้น)
  • elongation stage
  • termination stage (ขั้นสุดท้าย)
  • “So the beginning and the end are the same.”
  • จุดเริ่มต้นและจุดจบมันเหมือนกันงั้นสินะ…
    • นี่อาจเป็นคำพูดหนึ่งที่ต้องการบอกใบ้ถึงกระบวนคัดลอก DNA จากจุดเริ่มต้น > จุดจบ และอีวา 13 ก็กลายเป็นอดัมเหมือนกัน
    • หรือไม่มัก็นเป็นแค่การตีความคำพูดและกระบวนการที่คล้ายกันเท่านั้น เพราะคาโอรุถูกลดลำดับเป็นเทวทูตตนที่ 13 และเขาก็กลายเป็นเทวทูตตนที่ 1 ไปพร้อมๆกันกับอีวา 13 ด้วย

ลักษณะเด่น

หน่วยพันธุกรรม หรือ ยีน (gene) ปรากฏอยู่บนโครโมโซม ประกอบด้วยดีเอ็นเอ ทำหน้าที่กำหนดลักษณะ ทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต หน่วยพันธุกรรมจะถูกถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิตรุ่นก่อนหน้าสู่ลูกหลาน เช่น ควบคุมกระบวนการเกี่ยวกับกิจกรรมทั่วไปทางชีวเคมีภายในเซลล์สิ่งมีชีวิต ไปจนถึงลักษณะปรากฏที่พบเห็นหรือสังเกตได้ด้วยตา เช่น รูปร่างหน้าตาของเด็กที่คล้ายพ่อแม่, สีสันของดอกไม้, รสชาติของอาหารนานาชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่บันทึกอยู่ในหน่วยพันธุกรรมทั้งสิ้น
  • จีโนไทป์ (Genotype) หมายถึง ยีนที่ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต เช่น TT, tt, Tt
  • อักษรตัวใหญ่ T แทนลักษณะเด่น
  • อักษรตัวเล็ก t แทนลักษณะด้อย
   ตัวอักษรที่บ่งบอกถึงลักษณะเด่นของอีวา 13 ปรากฏอยู่บนหลังชุดนักบินของชินจิและคาโอรุ ซึ่งทั้งสองเปรียบได้ว่าเป็นตัวแทนของลิลิธและอดัมที่อยู่ในร่างของอีวา 13 ดังนั้นลักษณะเด่นที่เขียนด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ (ในที่นี้คือตัว A )ที่อยู่บนชุดคาโอรุ จึงเป็นคำบอกใบ้ว่า 

อีวา 13 แสดงลักษณะเด่นออกมาเป็น Ab (เมื่อมองจากด้านหน้า) และมันหมายความว่าอีวาตัวนี้ได้พันธุุกรรมมาจากฝั่ง"พ่อ" หรือ "อดัม" มากกว่า  ซึ่งลักษณะเด่นของอดัมก็คือ "เขา"  

  ด้วยเหตุนี้ผมจึงพูดเสมอมาว่า อีวาที่โคลนนิ่งจากอดัมหรือเป็นอดัมตัวจริงจะมีเขาทุกตัว เพราะอีวาเกเลี่ยนไม่ได้นำเสนอแต่ด้านศาสนา ปรัชญา หรือจิตวิทยาอย่างเดียว จริงๆแล้วมันมีหลักการและกฏเกณฑ์ที่แอบแฝงอยู่ในรูปแบบของ"วิทยาศาตร์ที่ต้องถูกตีความ"ด้วย และมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของ มานุษยวิทยาล้วนๆ

ผมไม่ใช่คนที่เก่งในด้านวิทยาศาสตร์หากมีสิ่งใดอธิบายไม่ถูกต้องก็คอมเม้นบอกกล่าวกันได้ครับ

PERFECT MATCH – คู่ที่สมบูรณ์แบบ

คู่ที่สมบูรณ์แบบ

   ในตอนนี้ทุกคนได้รู้แล้วว่า อีวา 01 คือลิลิธคนใหม่ และ อีวา 13 คืออดัมคนใหม่ และสิ่งที่ช่วยตอกย้ำและบ่งบอกได้ดีว่าใครเป็นใครก็คืออุปกรณ์ของพวกเขา "หอก" เพราะหอกจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตามผู้ถือครอง ซึ่งทฤษฎีนี้มีจุดสังเกตที่ผู้สร้างพยายาลบอกเราเยอะมาก

the two evas are perfect counterpart

   ในอนิเมะภาคเก่า NGE เก็นโดได้ทำการปาหอกลองกินุสทิ้งไปเพื่อขัดขวางเซเล่ และหอกได้ปักลงที่บนดวงจันทร์ แต่ปรากฏว่าเมื่ออีวา 01 ลืมตาตื่นขึ้นหอกได้พุ่งตรงกลับมาหาอีวาทันที่ ตรงจุดนี้มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ คือ สาเหตุที่ทำให้อีวา 01 ตื่นก็เพราะชินจิดันไปเห็นซากศพของอีวา 02 ซึ่งมันไปกระตุ้นอารมณ์ของชินจิจนบ้าคลั่ง (อารมณ์=การลืมตาตื่น)
   พอลองเอาฉากที่ว่ามาเปรียบเทียบกับฉากที่อีวา 01 ลืมตาตื่นเป็นลิลิธในภาค ROE เราก็จะพบว่ามันมีความคล้ายคลึงกันในหลายๆด้าน แต่จะแตกต่างกันที่ หอกแคสซิอุสพุ่งลงมาเพื่อหยุดอีวา 01 ที่เป็นลิลิธ (อาจเป็นเพราะระบบป้องกันของหอกต้องการจะหยุดเมล็ดพันธ์อีกตนที่ดันมาอยู่ในดาวดวงเดียวกัน)

ปล.บางคนคิดว่าคาโอรุเป็นคนปาหอกมา แต่ผมคิดแตกต่าง เพราะถ้าคาโอรุปาหอกลงมาจริง หอกจะต้องเปลี่ยนเป็นหอกลองกินุสเพราะผู้ที่ถืออยู่คือ อดัม
   และหอกแคสซิอุสเล่มนี้ก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกว่า อดัมเคยพบเจอกับลิลิธบนโลกที่ขั้วโลกใต้มาก่อน และเหตุระเบิดครั้งนั้นนั่นเองที่ทำให้หอกทั้งสองเล่มสลับที่กัน หอกแคสสิอุสจะติดไปอยู่กับอดัมที่ดวงจันทร์ ส่วนหอกลองกินุสจะถูกเอาไปผนึกลิลิธใต้ฐานเนิร์ฟ 
   หลังจากหอกพุ่งลงมาปักอีวา 01 ก็จะเท่ากับว่ามีหอกสองเล่มอยู่บนโลก และหอกสองเล่มนี้จะถูกใช้งานอีกครั้งในเหตุการณ์ Thid Impact ซึ่งมันได้เปลี่ยนรูปร่างเป็น หอกปลายแหลมหรือหอกผนึก เพื่อหยุด Third imapct และผนึกอีวา 06 กับลิลิธไว้ใต้ central dogma ตลอด 14 ปี
   ด้วยเหตุนี้ตอนที่คาโอรุลงมาใน centraldogma พร้อมกับชินจิ คาโอรุถึงแปลกใจว่าทำไมหอกถึงกลายสภาพไปเป็นรูปร่างเดียวกัน(หอกผนึก) เพราะว่าตอนเกิด Third impact มันเคยมีหอกลองกินุสและหอกแคสซิอุสอยู่ในที่แห่งนี้ ซึ่งเขาก็น่าจะอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
  • คาซิอุสกับลองกินุส
  • เราต้องการหอกทั้งสองด้าม
  • แต่ว่าที่นี่มีอย่างเดียวกันสองด้าม
แล้วหอกทั้งสองเล่มก็โดนอีวา 13 ที่ตื่นขึ้นเป็นอดัมเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นหอกลองกินุสทั้งคู่
   แล้วในภาค 3.0+1.0 ก็ไดเฉลยให้เรารู้ว่า หอกจะเปลี่ยนรูปร่างไปตามผู้ถือครอง เพราะในฉากนี้เราจะได้เห็นชินจิที่ขับอีวา 01 แย่งหอกมาจากอีวา 13 มาหนึ่งเล่ม และหอกเล่มนั้นได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นหอกแคสซิอุสในทันที เพราะอีวา 01 คือลิลิธ ตอนนี้ผมอยากให้ทุกคนจำไว้ว่า หอกจะเปลี่ยนรูปร่างไปตามผู้ถือครอง เพราะมันจำเป็นต่อการไขปริศนาว่าหอกแคสซิอุสเล่มนี้มาจากไหนด้วย 
ต่อไปคือการวิเคราะห์ที่มาของหอกแคสซิอุสที่ไม่น่าจะมีอยู่บนโลกนี้ 

ตามทฤษฎีที่ผมอธิบายไปในพาทที่ 4 หอกของลิลิธจะถูกทำลายตอนมายังโลก ถ้าหอกของลิลิธไม่ถูกทำลาย ลิลิธจะถูกผนึกเช่นเดียวกับอดัมและมนุษย์จะไม่ได้เกิดขึ้น
  • หอกที่แท้จริงในเรื่องจะมีอยู่ด้วยกัน 6 เล่ม
    • ตามข้อมูลในภาคเก่าอดัมมาที่โลกก่อนลิลิธ อดัมจึงให้กำเนิดเทวทูตไว้บนโลกเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ลิลิธที่มาทีหลังได้พุ่งชนกระแทกกับโลกอย่างรุนแรง และหอกของเธอน่าจะเสียหายไป หอกในภาค NGE จึงเหลืออยู่แค่เล่มเดียว
    • ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้อดัมถูกผนึกอยู่ที่ขั้วโลกใต้เพียงแค่คนเดียว ในขณะที่ลิลิธไม่ถูกผนึก มนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ได้
    • ผมจึงใช้สมมุติฐานเดิมนี้ในการกำหนดว่า หอกของลิลิธพังเช่นกัน
  • หอกที่ปรากฏในเรื่องจึงเหลืออยู่เพียงแค่ 5 เล่มเท่านั้น
    • หอกของอดัม 1 เล่มหอกของอดัมทั้ง 4 จากต่างมิติอีก 4 เล่ม
    • ไม่นับรวมหอกที่ถูกสร้างจาก Blackmoon

หอกแคสซิอุสเล่มนี้มาจากไหน?

   คำตอบ ...หอกแคสซิอุสเล่มนี้ไม่ใช่ของลิลิธ...แต่เป็นหอกลองกินุสของหนึ่งในอดัมทั้ง 4 ที่ถูกลิลิธเปลี่ยนให้กลายเป็นหอกแคสซิอุสในเหตุการณ์ second impact ครับ
ผมเปิดทฤษฎีมาแบบนี้ ผมก็ต้องมีคำอธิบายรองรับไว้พร้อมอยู่แล้วครับ ลองมาทำความเข้าใจกันดู
   ข้อสงสัยที่นำมาซึ่งทฤษฎีนี้ก็คือ ฉากนี้ครับ เป็นฉากตอนที่เก็นโดบอกว่าตัวเองได้หอกสองเล่มมาไว้ในมือแล้วพร้อมจะทำพิธี ซึ่งเป็นฉากหลังจากที่ชินจิได้แย่งหอกมาและได้เปลี่ยนมันเป็นหอกแคสซิอุสไปแล้ว แต่ปรากฏว่าภาพที่แสดงให้เราเห็นในฉากนี้ กลับเป็นภาพของอีวา 01 ที่กำลังถือหอกลองกินุสอยู่ในมือ มันน่าสงสัยใช่ไหมหละครับ?

ตอนแรกผมคิดว่านี่คือข้อผิดพลาดในการสร้าง แต่ผมคิดว่าไม่ใช่และสิ่งผิดปกตินี้แหละคือคำใบ้
มาเรียงลำดับฉากตามลำดับเวลาในหนังกันก่อน แล้วดูว่าหอกที่อีวา 01 ถืออยู่ในแต่ละฉากเปลี่ยนเป็นรูปร่างไหนบ้าง
  • ฉากที่ 1 – อีวา 01 แย่งหอกจากอีวา 13
    • หอกแคสซิอุส
    • ตั้งใจให้เห็นว่าหอกเปลี่ยนรูปร่างได้เมื่ออยู่ในมือเจ้าของที่เป็นลิลิธ
  • ฉากที่ 2 – อีวา 01 ปล่อยหอกจากมือ
    • หอกแคสซิอุส
    • ฉากนี้จงใจให้เห็นว่า ถึงแม้เจ้าของจะปล่อยมือแล้วหอกก็ยังเป็นหอกแคสซิอุส
    • ไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นหอกลองกินุส
  • ฉากที่ 3 – หอกอยู่ในมือเก็นโด
    • หอกลองกินุส
    • ???? นี่คือความผิดปกติ
  • ฉากที่ 4 – หอกรวมตัวกัน
    • หอกแคสซิอุส
    • ตอนนำมารวมกัน ตัวหอกยังคงเป็นหอกแคสซิอุส
   อีวา 01 ได้แย่งหอกลองกินุสมาและเปลี่ยนมันเป็นหอกแคสซิอุสไปแล้ว และถึงแม้ชินจิจะยอมปล่อยมือออกจากหอก ตัวหอกก็ไม่เปลี่ยนรูปร่างกลับไปเป็นลองกินุสดั่งเดิมด้วย ดังนั้นในฉากที่ 3 หอกที่เราควรเห็นในมือเก็นโดมันควรจะเป็นหอกแคสซิอุสไม่ใช่เหรอ ? แต่ทำไมเราถึงเห็นเป็นลองกินุสสองด้ามได้หละ ? ทั้งๆที่ฉากต่อมาหอกก็ยังเป็นแคสซิอุสเหมือนเดิม.....

วิเคราะห์

   การที่ชินจิปล่อยมือออกจากหอก แล้วหอกไม่เปลี่ยนรูปร่างกลับไปเป็นลองกินุสเหมือนเดิม มันหมายความว่า หอกที่เราเห็นในภาคก่อนหน้า ล้วนแล้วก็อาจไม่ใช่รูปร่างดั้งเดิมของมันจริงๆ และทั้ง 4 ฉากที่เราวิเคราะห์ก็คือ คำใบ้ให้เราคิดย้อนกลับว่า 

ถ้าหอกเล่มนี้เคยถูกเปลี่ยนมือในเหตุการณ์ second impact มาก่อนโดยที่เราไม่รู้เรื่อง แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า รูปร่างดั้งเดิม ของมันคือหอกอะไร เพราะตอนนั้นมีอดัมและลิลิธอยู่รวมกันถึง 6 คน

  ซึ่งฉากที่เป็นประเด็นที่ว่านี่แหละคือฉากที่เฉลยว่า หอกทั้งสองเล่มที่เราเห็นมาตั้งแต่ภาค 1.0 ถึงภาคจบมันคือหอกลองกินุสสองเล่มมาโดยตลอด ไม่ใช่หอกแคสซิอุสสักเล่ม และหอกแคสซิอุสที่เห็นในเรื่องเป็นเพียงแค่หอกที่โดน เปลี่ยนมือ และ เปลี่ยนรูปร่าง ไปหลายครั้งจากการสัมผัสโดยอดัมและลิลิธในแต่ละเหตุการณ์เท่านั้นเอง   

  จึงเป็นที่มาของการตั้งทฤษฎีว่าในเหตุการณ์ second impact หอกลองกินุสของหนึ่งในอดัมถูกเปลี่ยนเป็นแคสซิอุส (อาจจะเกิดจากการสัมผัสกับลิลิธ) แล้วหอกที่ว่านี้ก็ไปอยู่กับอดัมบนดวงจันทร์ หลังจากนั้นก็พุ่งลงมาหาอีวา 01 และถูกผนึกอยู่ใน central dogma ตามไทม์ไลน์
ดูไทม์ไลน์น่าจะเข้าใจง่ายขึ้น แล้วเดี๋ยวผมจะเฉลยว่าหอกอีก 3 เล่มหายไปไหน

หอกที่หายไป 3 เล่ม

   หากเข้าใจที่มาที่ไปของหอก 2 เล่มนี้แล้ว เราก็จะมาต่อกันที่หอกอีก 3 เล่มที่หายไป ซึ่งจริงๆแล้วมันอยู่ในยาน Wunder มาตลอดโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยครับ เพราะพวกมันเปลี่ยนรูปร่างกลายไปเป็น "กระดูกสันหลัง" 
   ทำไมผมถึงบอกว่ากระดูกสันหลังพวกนี้คือหอกอีก 3 เล่มหายไป ลองมาวิเคราะห์ภาพที่อยู่บนจอของริตสึโกะกันครับ เพราะมันคือคำตอบ
  
   เมื่อดูที่ชื่อหัวข้อการทำงาน "หาความเป็นไปได้ที่หอกจะเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นรูปร่างอื่น" จะเห็นว่ามันกำลังวิเคราะห์หอกของเก็นโดทั้งสองเล่มอยู่ แล้วก็ทำการเปรียบเทียบกับตัวอย่าง ทั้งหมด 3 ตัวอย่าง และถึงแม้ตัวอย่างที่แสดงจะมีรูปภาพเป็นแบบพิกเซลซึ่งทำให้ดูยากแต่เราก็ยังสามารถคาดเดารูปทรงมันได้อยู่ดี ตามรูปเปรียบเทียบด้านล่าง 3 รูปนี้ครับ
  • ตัวอย่างที่ 1
    • หากใครตาไวจะเห็นรูปอันแรกสุดที่แตกต่างจาก 2 อันหลัง คือ มีลักษณะเป็นปล่องๆหนาและไม่เห็นส่วนปลายทั้งสองข้า
    • ต่อให้มองหาทั้งเรื่องก็คงไม่เจอสิ่งของหรือวัตถุใดที่คล้ายกับสิ่งนี้แน่นอน นอกจาก กระดูกสันหลังในตัวยาน Wunder
  • ตัวอย่าง 2
    • รูปทรงปลายเรียวแหลมทั้งสองด้าน รูปร่างนี้คือ หอกผนึก หรือ หอกปลายแหลม
    • หอกจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นปลายแหลมตรงทั้งสองด้าน
  • ตัวอย่าง 3
    • ส่วนหัวเป็นเหมือนกับฉมวก
    • รูปนี้คือ หอกแคสซิอุส
  • ตัวอย่างทั้ง 3 ขึ้นข้อความยืนยันว่า Pattern match แสดงว่าทุกอันคือหอกของจริงที่เปลี่ยนรูปร่างไปอย่างแน่นอน
แล้วทำไมถึงต้องเป็น กระดูกสันหลัง ?
  ผมไม่มีคำตอบครับ แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์เปรียบเทียบว่าหอกเป็นเหมือนกับแกนกลางของร่างกายมันก็จะมีแค่สองตัวเลือกแค่สองสามอย่างคือ หัวใจ สมองกับกระดูกสันหลัง ซึ่งมันก็เหมาะสมดีที่มันจะเป็นกระดูกสันหลัง เพราะสันหลังถือเป็นสิ่งที่อยู่กึ่งกลางตลอดแนวลำตัว ไม่เหมือนอวัยวะบางส่วนที่มีเป็นคู่หรือแบ่งเป็นฝั่งซ้ายกับฝั่งขวา และในเมื่อทฤษฎีการตื่นของพลัง
มันเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง มันจึงทำให้ชิ้นส่วนนี้เป็นศูนย์กลางของการปลดปล่อยพลังงานที่ดูเหมาะสมที่สุด ที่จะเป็นอีกรูปร่างหนึ่งของหอก (ในเมื่อเจ้าของพวกมันได้ตายไปแล้ว) และเพราะกระดูกสันหลังมันมีลักษณะเป็นแท่งยาวๆเหมือนหอก มันจึงเป็นสิ่งที่สามารถตบตาคนดูได้ดีว่าหอกต่างๆที่เห็นในภาพย้อนอดีตของมิซาโตะมันหายไปไหนหมด....
ในภาค NGE อีวา 01 เคยดึกหอกออกมาจากปากของมันด้วย...

บทบาทของหอก

   ทุกคนยังจำบทบาทของมันในพาทที่แล้วได้ไหมว่า มันใช้ทำอะไรและมันเป็นตัวแทนของอะไร
  1. อตัวแทนของลิลิธและอดัม
  2. ปลุกคนหลับให้ตื่นและกล่อมคนตื่นให้หลับ
  3. ใช้เพื่อชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
  4. DNA และพันธุกรรม
   สิ่งที่ผมวิเคราะห์ก็คือหอกสองเล่มนี้มัน ถูกปักอยู่ที่อดัมและลิลิธมาก่อน และมันได้คัดลอกเอา DNA ของทั้งสองมาไว้กับตัวเรียบร้อยแล้วตามบทบาทของมัน หรืออีกอย่างที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือ หอกสองเล่มถูกตีความให้เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อว่าเป็นตัวแทนของอดัมและลิลิธในมือเก็นโด แต่ผู้สร้างเลือกที่จะใช้การพูดถึงชื่อของหอกแทนที่ชื่อของอีวาทั้งสอง
    ความหวังและความสิ้นหวัง ที่เก็นโดพูดอาจเป็นได้ทั้งการพูดถึง ตัวหอก และ เจ้าของหอก(อดัมและลิลิธ)ที่รวมร่างกัน หอกและอีวาทั้งสองจึงถือว่าเป็นตัวกระตุ้น(Trigger) ให้ Additional impact เริ่มทำงาน หรือในอีกความหมายคือ "การทำให้พระเจ้าสมบูรณ์และคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง" นั่นเอง
  • อีวาทั้งสองคือคู่ตรงข้ามที่สมบูรณ์แบบ
  • หมายเลข 01 คือความหวัง
  • หมายเลข 13 คือความจนตรอก
  • ทั้งสองเชื่อมต่อกันและสอดประสานเข้าด้วยกัน
  • หอกแห่งความสิ้นหวังและหอกแห่งความหวัง
  • กลายเป็นเครื่องสังเวยละตัวกระตุ้นกันและกัน
  • ความสมบูรณ์ของ Adam
    • Adam Vessel อีวา 13 (จริง)
    • Adam Soul คาโอรุ (จริง)
    • Adam Core แกนกลางของ 13
  • ความสมบูรณ์ของ Lilith
    • Lilith Vessel อีวา 01 (จริง)
    • Lilith Soul เรย์ (จริง)
    • Lilith Core แกนกลางอีวา 01
  • F.A.R. จากการตีความในพาทที่ 3 คือพระเจ้าที่ตายแล้ว
    • อีวา 01 และ 13 คือสิ่งที่เติมเต็มให้พระเจ้าสมบูรณ์ทั้งกายและใจ
    • การย้อนกลับสู่พระเจ้าผู้ให้กำเนิด จากเมล็ด สู่ ต้นไม้

Theory of Color – ทฤษฎีสี

   สีเป็นสิ่งมีอยู่ตามธรรมชาติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสีของวัตถุ สิ่งมีชีวิต หรือแสง และแต่ละสีสันก็ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันด้วย เช่น สีแดงที่สื่อถึงความอันตราย ความโกรธ ความร้อน สีฟ้าสื่อถึงความเย็น แม่น้ำ ท้องฟ้า เป็นต้น 

   เมื่อสีเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการออกแบบดีไซน์ การเลือกใช้สีที่เหมาะสมและมีความหมายตรงตามคอนเซป ก็ย่อมทำให้ผลงานดูมีความลึกซึ้งและสามารถแสดงถึงตัวตนของชิ้นงานนั้นได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในเรื่องอีวาเกเลี่ยนก็มีการใส่สีเหล่านี้แฝงอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆด้วย เพื่อเอาไว้อธิบายถึงสถานะของอีวาในขณะนั้น และคอนเซปที่ว่านี้ก็คือ แสง (Light) 
    แสง (Light) คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) เป็นรังสีชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความยาวคลื่น (Wavelength) อยู่ในช่วงที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้ผ่านดวงตาหรือที่เรียกว่า “แสงที่ตามองเห็น” (Visible Light) โดยนับเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในช่วงความยาวคลื่น 400 – 700 นาโนเมตร
   รุ้ง เกิดจากการที่แสงเดินทางผ่านหยดไอน้ำในอากาศทำให้เกิดการหักเหของแสงและเกิดเป็นสีรุ้งขึ้นมา เราสามารถทดลองโดยการเอาปริซึมไปวางให้แสงส่องผ่าน เมื่อแสงสีขาวเดินทางผ่านตัวกลางที่มีดัชนีหักเหแตกต่างกัน ความยาวคลื่นที่ต่างกันจะหักเหด้วยมุมที่ไม่เท่ากัน 
เราจะมองเห็น แสงสีขาวแยกสเปกตรัมออกมาเป็นสีต่างๆ  7 สี คือ ม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง

1.ทฤษฎีสี – การรวมแสง – ร่างกาย (Vessel)

   ทฤษฏีสีการรวมแสง คือการวิเคราะห์ส่วนประกอบ ทางกายภาพ (Vessel) ของอีวา เพื่อดูว่าอีวาตัวนั้นมีส่วนประกอบของแสงสีครบทั้ง 7 สีหรือไม่

   ซึ่งการผสมแสงนั้นจะประกอบไปด้วย แม่สีของแสง (primary colors of light) ทั้ง 3 สี ได้แก่ แดง เขียว น้ำเงิน ที่ซ้อนทับ
   และแม่สีทั้งสามถูกตีความให้เป็น การเปลี่ยนรูปแบบของคน ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ เทวทูต และอีก 2 รูปแบบที่พิเศษ ที่ทุกคนจะต้องทำความเข้าใจเพิ่มเติม 

   ถ้าหากแม่สีทั้งสามสามารถซ้อนทับกันที่อีวาตัวเดียวได้ ก็จะก่อเกิดเป็น "แสงสีขาว" ซึ่งผมตีความสิ่งนี้ว่าเป็น "การย้อนกลับเพื่อกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง" ตามหนทางสู้การกลายเป็นพระเจ้า

รูปแบบ

รูปแบบ Form คือ การเปลี่ยนร่าง ซึ่งเกิดขึ้นได้จากปลุกพลัง

  คนหนึ่งคน(นักบิน/อีวา) สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ถึง 3 แบบหลักๆกับอีก 2 รูปแบบพิเศษ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีสีบ่งบอกสถานะให้เห็น อยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน จึงต้องวิเคราะห์และตีความให้ดีว่าสีที่ออกมา  มันคือสีที่ใช้เพื่อการออกแบบ(ไม่ต้องตีความ) หรือ บ่งบอกสถานะ(ต้องตีความ) แถมการตีความยังต้องแบ่งแยกอีกด้วยว่าสีนั้นกำลังสื่อถึงสิ่งใดอยู่ เพราะสีก็มีหลายความหมายเช่นกัน

1.รูปแบบมนุษย์ HUMAN

  • สีแดง แทนความเป็นมนุษย์
    • การปลุกพลังขึ้นมาด้วยตัวเองของมนุษย์
    • จิตที่ถูกปลุกของนักบินส่งต่อไปที่อีวา ทำให้อีวาแข็งเกร่งขึ้น
    • ร่างโคลน(รุ่นแรกๆ)ไม่สามารถทำได้เพราะโดนปิดกั้นอารมณ์
ตัวอย่าง - ชินจิที่ปลุกพลังของตัวเองขึ้นมาแล้วควบคุมอีวา 01 ร่างกายภายในของชินจิจะเป็นสีแดงของมนุษย์ FOK

2.รูปแบบสัตว์ BEAST

  • สีเขียว แทนความเป็นกลาง ระหว่าง ฝั่งเทวทูตและมนุษย์
    • The Beast รูปแบบสัตว์คือการเปลี่ยนร่างที่ไม่มีเงื่อนไขของสายเลือด
    • เพราะมันคือ “ระบบ และ เทคโนโลยี”
    • เพียงแค่ใช้ชุดสูทและคำสั่งปลดลิมิเตอร์ของทั้งคนและอีวาออก
    • ดั้งนั้นต่อให้อีวาที่ใช้เป็นโคลนนิ่งอดัมหรือลิลิธก็สามารถใช้โหมดนี้ได้
    • นักบินจะไม่โดนหลอมรวมเพราะมันคือการตั้งค่าเพื่อจงใจให้ปลั๊กหยุดในจุดเสี่ยง
    • อีวาจะแสดงพลังความบ้าคลั่งออกมาเหมือนกับสัตว์
ตัวอย่าง - มาริ และอาสึกะ ที่ใช้โหมด the beast กับอีวา 02 และ 08

3.รูปแบบเทวทูต ANGEL

  • สีน้ำเงิน แทนความเป็นเทวทูต
    • ต้องมีสายเลือดเทวทูต
    • ใช้พลังของเทวทูตของผู้ขับหรืออีวา
    • ยิงบีมสร้างและสนามพลัง
ตัวอย่าง - อาสึกะที่ใช้พลังของเทวทูต ร่างกายภายในของเธอจะเป็นสีน้ำเงินของเทวทูต FOL

รูปแบบพิเศษ A – ภาพสะท้อนของพระเจ้า

  • FOL(สายเลือดอดัม)+FOK(สายเลือดลิลิธ) = ภาพสะท้อน
  • สีชมพู คือการทับซ้อนของแสงสีแดงและน้ำเงินตามแม่สีของแสง
    • เกิดขึ้นจากการผสมสองสายเลือดเข้าด้วยกัน
    • ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากตัวนักบินรวมกับอีวา หรืออีวารวมกับอีวา
  • จากการวิเคราะห์ อีวาสามารถเข้าถึงพลังของพระเจ้าได้ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ

รูปแบบพิเศษ B – พระเจ้า

  สีเขียว คือสีที่ยากต่อการตีความที่จะทำให้ทุกคนสับสน เพราะถึงแม้รูปแบบสัตว์จะใช้สีเขียวเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารูปแบบสัตว์คือรูปแบบพระเจ้า ว่ากันตามตรงรูปแบบสัตว์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ผ่านๆมาเลย ความเป็นเดรัจฉานและความคลั่งคือสถานะที่ไม่ต้องการสำหรับการเป็นพระเจ้า 

  ต่อไปเราจะมาจะถอดรหัสกันว่าสีเขียวนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ เพื่อที่ทุกคนจะได้จะเข้าใจขั้นตอนและกระบวนการ ตอนที่ผมวิเคราะห์ตัวอย่างหลังจากนี้
นิยามของสีเขียว - หมายถึง "ความเป็นกลาง" และความเป็นกลางก็ยังมีหลายความหมายดังนี้
  • 1. ความเป็นกลาง (จุดเริ่มต้น) ที่หมายถึง ค่าพื้นฐาน ค่าเริ่มต้น ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลง
    • อีวาที่อยู่ในโหมดหุ่นยนต์หรือหลับอยู่ ก็คืออีวาในรูปแบบปกติ ก่อนที่จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นรูปแบบอื่นจากการปลุกพลัง
      • เช่น เมื่อชินจิปลุกพลังของมนุษย์ขึ้นมาใช้ ผ่านร่างของอีวา อีวาจะเปลี่ยนจาก อีวาโหมดปกติ(เขียว) ไปเป็น โหมดมนุษย์(แดง)
  • 2. ความเป็นกลาง (จุดศูนย์กลาง) ที่หมายถึง ผู้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างสองฝั่ง
    • โหมดสัตว์เข้าข่ายของการอยู่ตรงกลางระหว่างโหมดมนุษย์และเทวทูตเช่นกันในกลุ่มสีชุดแรก เพราะมันใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการควบคุม ซึ่งจะแตกต่างกับสองโหมดที่ใช้การปลุกพลังด้วยตัวเอง ดังนั้นสีของโหมดสัตว์จึงเป็นสีเขียว
    • นอกจากนี้สีเขียวยังหมายถึง การรวมกันของสองฝั่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง ได้ด้วยเพราะมันสอดคล้องกับการตีความว่าพระเจ้าคือ การรวมกันของอดัมและลิลิธ
ในทฤษฎีสีของแสงสีเขียวจะอยู่ตรงกลางเสมอ เสมือนเป็นศูนย์กลางของสองฝั่งที่มารวมกัน
   ต่อจากนี้ผมอยากให้ทุกคนตัดสีเขียวที่มีความหมายว่า สัตว์ ออกไปให้หมดครับเพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการใดๆเลย 
และผมจะวิเคราะห์ ทฤษฏีการรวมแสง โดยใช้สีเขียวที่มีความหมายสองอย่างต่อไปนี้แทน 
ความหมายที่  1.จุดเริ่มต้น   โดยมีอีวา 01 กับอีวา 02 เป็นตัวอย่าง 
ความหมายที่  2.พระเจ้า ศูนย์กลาง   โดยมีอีวา 13 เป็นตัวอย่าง

วิเคราะห์ส่วนประกอบของแม่สี

รูปแบบ – ภาพสะท้อนของพระเจ้า – อีวา 01

  อีวามีส่วนประกอบเป็น Soul และ Vessel ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของสีจึงเกิดขึ้นได้จากทั้งนักบินและอีวา แต่จะต้องเกิดขึ้นจากนักบินก่อนเสมอ เพราะอีวาไม่มีจิตใจเป็นของตัวเอง นักบินจึงต้องถูกปลุกพลังเพื่อกลายเป็นจิตใจทดแทนให้กับอีวา
   ซึ่งโดยปกติแล้ว เกราะของอีวา 01 จะเป็นสีเขียวอยู่เสมอ แต่ในฉากที่ต้องต่อสู้กับเทวทูตตนที่ 10 เกราะในส่วนนี้จะสามารถเปลี่ยนสีได้ครับ นั่นเป็นเพราะว่าผู้สร้างอยากให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของพลังงานและรูปแบบที่เกิดขึ้นกับอีวาตัวนี้นั่นเองครับ

   อีวา 01 ที่อยู่ในโหมดหุ่นยนต์ปกติ จะเรืองแสงสีเขียวเป็นหลัก เพื่อแสดงสถานะความเป็นกลาง หรือ เริ่มต้น ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสีอื่น เช่นสีแดงในกรณีนี้ 
  • Soul – ชินจิ – FOK
    • สีเขียวจะดับลงเมื่ออีวา 01 หมดพลัง
    • สีแดงจะฉายขึ้นมาเมื่อชินจิปลุกพลังรูปแบบมนุษย์ได้สำเร็จ
    • พลังที่ชินจิปลุกขึ้นมาถูกส่งทอดจาก “กายละเอียดไปสู่กายหยาบ” ทำให้อีวา 01 เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างที่เราเห็นกัน
  • Vessel – อีวา 01 – FOL
    • เมื่อชินจิหลอมรวมตัวเองจนกลายเป็นอีวาไปแล้ว ชินจิก็จะกลายเป็นตัวกระตุ้นในตำแหน่งของ “วิญญาณ Soul” ทีถูกปลุกให้ตื่นขึ้นของอีวา 01
    • ทำให้ร่างกายของ อีวา 01 ที่มี FOL ตื่นขึ้นใน รูปแบบเทวทูต
    • เกิดการซ้อนทับกันระหว่างมนุษย์(สีแดง,FOK)และเทวทูต(สีน้ำเงิน,FOL) ก่อเกิดเป็น รูปแบบ – ภาพสะท้อนของพระเจ้า
    • ในฉากนี้ให้สังเกตุที่เกราะของอีวา 01 ให้ดีๆ เพราะสีของเกราะจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู บางคนอาจไม่ทันสังเกตเพราะสีของบรรยากาศรอบๆตัวมันกลมกลืนกัน
    • ซึ่งสีชมพูเกิดขึ้นมาจากการซ้อนทับของแม่สีของแสง แดง ● + น้ำเงิน = ● ชมพู

รูปแบบ – ภาพสะท้อนของพระเจ้าอีวา 02

  ขั้นตอนการเปลี่ยนรูปแบบของอีวา 02 สามารถเปรียบเทียบกับอีวา 01 ได้เลย เพียงแค่สลับขั้นตอน ก่อน-หลัง เพราะในกรณีของอาสึกะ เธอจะปลุกพลังรูปแบบเทวทูตขึ้นมาก่อนและตามมาด้วยรูปแบบมนุษย์ทีหลัง โดยเราสามารถดูสถานะของอีวา 02 ได้จาก สีของดวงตา 
  • Soul – อาสึกะ – FOL
    • ตามวิธีการตื่นขึ้นของพลัง กายละเอียดหรือกายภายในจะต้องเริ่มพัฒนาก่อนอาสึกะเริ่มต้นด้วยการใช้ Dummy system ปลดลิมิเตอร์ออกจนหมด บวกกับชุดปลั๊กสูทรุ่นใหม่ล่าสุด
    • ผมไม่แน่ใจว่าชุดรุ่นใหม่ที่ใส่มีออฟชั่นอะไรเพิ่มเติมแต่ที่แน่ๆเราจะเห็นสีทั้ง 3 ที่ชุดอาสึกะ
    • เหมือนกับว่าชุดรุ่นใหม่สามารถปลดรูปแบบได้ครบทั้ง 3 แบบ แสงที่ออกมาจึงไล่เฉดกันจนกลายเป็นสีรุ้ง
    • แต่ถ้าตามความคิดผมรูปแบบหลักที่ทำให้อาสึกะเชื่อมต่อกับอีวาได้จะเป็นรูปแบบเทวทูต
  ถึงแม้ eva 02 รุ่นใหม่จะทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพลังงานภายนอกเพราะอาจจะติดตั้ง S² Engine แต่ในในภาค rebuild อุปกรณ์นี้ไม่ได้ถูกนับว่าเป็น Fruit of Life ถึงแม้มันจะให้พลังงานอนันต์แต่มันก็เป็นแค่อุปกรณ์และเครื่องยนต์ ไม่มีคุณสมบัติทางชีวะภาพ ดังนั้น Core จึงถูกตีความใหม่ว่าเป็นศูนย์รวมของร่างและจิตเพียงอย่างเดียว และ Fruit of Life ถูกตีความให้เป็นเลือดที่สูบฉีดเข้าไปในร่างของอีวา 02
  • Vessel – อีวา 02 – FOK
    • อีวา 02 จะมีตาสีเขียวที่แสดงสถานะความเป็นกลางก่อนที่ตาจะเปลี่ยนเป็นสีอื่นโดยเริ่มต้นจากอาสึกะผสานเข้ากับอีวาและฉีดเลือดของเทวทูตให้กับอีวา 02 ดวงตาจะเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นสีน้ำเงินก่อน สาเหตุเป็นเพราะอาสึกะปลุกพลังและผสานกับอีวา 02 ด้วยรูปแบบเทวทูต FOL สำเร็จเป็นอย่างแรก (ตรงข้ามกับชินจิ)เมื่ออาสึกะที่อยู่ในตำแหน่ง Soul ของอีวาตื่นขึ้นแล้ว เธอก็จะกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ อีวา 02 ที่มี FOK ตื่นขึ้นด้วบรูปแบบมนุษย์ เช่นกัน
    • ดวงตาของอีวาจะเปลี่ยนจากน้ำเงินเป็นสีแดงในวินาทีสุดท้าย
    • แล้วทั้งสองสีจะซ้อนทับกันกลายเป็นสีชมพูในที่สุด

เลือดที่พุ่งออกจากปากจะมีแค่สีน้ำเงินและแดงอย่างเห็นได้ชัด

สรุป

  • มาริพูดขึ้นว่า “อาสึกะจะไม่สามารถกลับมาเป็นมนุษย์ได้อีกนะ”
    • คำพูดนี้เป็นคำพูดเดียวกับที่ริตสึโกะพูดกับชินจิในตอนที่อีวา 01 ตื่นขึ้น
    • ซึ่งมันบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังจะสูญเสียกายหยาบของตัวเองไปและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับอีวา
    • เมื่ออาสึกะหลอมรวมกับอีวา เธอจะสามารถใช้สนามพลัง A.T.field ของตัวเองได้เหมือนกับตอนที่ชินจิใช้ผ่านร่างอีวา 01
    • ทั้งสองฉากนี้คือคู่เปรียบเทียบกันของกระบวนการรวม FOL กับ FOK สีของแสงที่ได้จะออกมาเป็นสีชมพู

รูปแบบพระเจ้า – อีวา 13

   อีวา 13 มีรูปแบบพระเจ้าที่แตกต่างจากอีวาตัวอื่นเพราะมันได้รับเลือดที่แท้จริงของทั้งลิลิธและอดัมมาไว้ในตัว ทำให้มันกลายเป็นอีวาพระเจ้า ซึ่งสีที่บ่งบอกสถานะที่ชัดเจนที่สุดที่เห็นได้บนตัวของอีวา 13 ก็คือ สีบนหน้าอก และ สีของวงแหวน
   จากภาพด้านล่าง ผมได้ทำการไล่เฉดสีเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆว่า วงแหวนด้านหลังของอีวา 13 นั้นถูกไล่เฉดสีตามสีของแสง และสีที่อยู่ตรงกลางวงแหวนกับบนหน้าอกก็คือ สีเขียว 
   ดังนั้นผมจึงตีความว่า สีเขียว นั้นคือ พระเจ้า ที่เกิดจากการรวมกันของอดัมและลิลิธ ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางของเฉดสีของแสง

การรวมสีของอีวา 13

   แสงสีทั้ง 7 เกิดขึ้นจากการรวม แม่สีของแสง (primary colors of light) ทั้ง 3 สีเข้าไว้ด้วยกัน แดง น้ำเงิน เขียว แต่ทำไมในกรณีของอีวา 13 ถึงมีแม่สีของแสงครบทั้ง 3 สีจนทำให้อีวาตัวนี้เป็นสีขาว ซึ่งแตกต่างกับกรณีของอีวา 01 และ 02 ที่มีแม่สีแค่สองสี

   แสดงว่าในเหตุการณ์ที่อีวาตัวนี้ลืมตาตื่น มันจะต้องมี แม่สีที่ 3 ที่เป็นสีเขียวเพิ่มเข้ามาอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจะขอย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นของกระบวนการก่อนที่อีวาตัวนี้จะลืมตาตื่นขึ้น ...เพื่อหาว่า สีเขียว ที่เพิ่มเข้ามาถูกตีความว่าเป็นสิ่งใด ?
   ในช่วงแรกของกระบวนการ ปีกของอีวา 13 จะมีสีม่วง แต่ถ้าหากสังเกตดีๆจะพบว่ามันไม่ใช่แค่สีม่วงเพียวๆสีเดียว แต่จะมีสีชมพูปะปนอยู่ด้วย ดังนั้นสถานะในตอนแรกของอีวา 13 จึงอยู่ในรูปแบบ ภาพสะท้อนของพระเจ้า เหมือนกับกรณีของอีวา 01 และ 02 

ในขั้นตอนนี้อีวา 13 จะยังไม่เป็นสีขาว เพราะแม่สีที่อีวาตัวนี้ขาดไปคือ สีเขียว
  แต่เมื่ออีวาตัวนี้ได้รับเลือดของลิลิธและอดัมที่อยู่ในตัวของเทวทูตตนที่ 12 เข้าไป มันก็กลายร่างเป็นสีขาวในทันที - แสดงว่าสิ่งนี้คือ สีเขียว งั้นเหรอ ? 
   กลับมาที่เรื่องความหมายของสี ที่ในตอนแรกเราได้รู้แล้วว่า สีเขียว มีความหมายว่า การเริ่มต้น ศูนย์กลาง และ พระเจ้า ดังนั้นเลือดของอดัมและลิลิธที่รวมกันเป็น พระเจ้า หรือ ทารก ที่เราตั้งข้อสงสัย จึงเป็น แม่สีที่ 3 (สีเขียว) ที่อีวาตัวนี้ได้รับเพิ่มเข้าไปนั่นเองครับ 
   เมื่อได้แม่สีที่ 3 เข้ามาแล้ว (แทนที่รูปแบบสัตว์ที่ไม่จำเป็น) ก็จะทำให้มีแม่สีครบทั้ง 3 สี แดง เขียว น้ำเงิน และเมื่อแสงทั้งสามซ้อนทับกันอย่างสมบูรณ์อีวา 13 จึงเปร่งแสงออกมาเป็นสีขาวทั่วทั้งร่างตามทฤษฎีสีการรวมแสงนั่นเองครับ 
  • ร่างสุดท้ายของอีวาคือภาพสะท้อนของพระเจ้า

สรุปได้ว่า “สีขาว” คือสีที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า “ชมพู” เพราะเกิดจากการมีแม่สีครบทั้ง 3 สี ดังนั้นคำพูดของออริจินัลอาสึกะที่บอกกับอาสึกอีกคนว่า “ร่างสุดท้ายของอีวาคือภาพสะท้อนของพระเจ้า” จึงหมายถึงรูปแบบที่อีวา02 ใช้ในฉากที่สู้กับอีวา 13 นั้น ไม่ใช่พลังของพระเจ้าจริงๆ แต่เป็นแค่การเรียนแบบพระเจ้า เพราะมันคือการผสมผสานระหว่าง FOL และ FOK ใน ระดับลูกหลาน (Fruit) เท่านั่นครับ เพราะอีวาคือ สิ่งที่สร้างเรียนแบบพระเจ้า

  • ถึงเวลาใช้ไม้ตายแล้ว ขอโทษด้วยนะ หมายเลข 02 รุ่นใหม่
  • ฉันต้องใช้งานแบบเต็มขั้น
   ดังนั้นการจะกลายเป็นพระเจ้า (สีขาว) ที่แท้จริงจึงต้องการ FOK และ FOL ที่อยู่ใน ระดับ Seed มาเสริมด้วย เหมือนอย่างที่อีวา 13 ได้รับเลือดของอดัมและลิลิธเข้าไป 

   เมื่อมองภาพรวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นลำดับ เราก็พบกับแนวคิดที่ผมเคยบอกทุกคนไปแล้ว ว่ามันคือ การย้อนกลับสู่ต้นกำเนิดเพื่อกลายเป็นพระเจ้า ตามแผนผังต้นไม้แห่งชีวิตนั่นเองครับ จาก Fruit > Seed > Tree

2.ทฤษฎีสี – การตื่นของพลัง – วิญญาณ (Soul)

   ทฤษฏีสีอันแรกคือ การวิเคราะห์ส่วนประกอบทางกายภาพ (Vessel) ดังนั้นทฤษฏีสีนี้จึงเป็นการวิเคราะห์ระดับพลังงานของทางวิญญาณ (Soul) เพื่อดูว่าอีวาตัวนั้นสามารถปลุกพลังของตัวเองได้สำเร็จหรือไม่ ตามหลักการปลุกพลังกุญฑาลินี ซึ่งจะใช้ชุดสีที่เหมือนกัน แต่สีชุดนี้จะไม่ซ้อนทับกันเพราะเป็นสีที่แสดงออกมาตายตัว ตามระดับพลังงานที่เพิ่มขึ้นและลดลง
   สเป็คตรัมของแสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่ามีด้วยกันทั้งหมด 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง ซึ่งแต่ละวัตถุ สิ่งของ อุปกรณ์ จะมีการแผ่รังสีออกมาไม่เหมือนกัน แต่ระดับความรุนแรงและการแผ่พลังงานจะถูกลำดับตามสีโดยเฉพาะสองสีที่ผมจะวิเคราะห์ต่อไปนี้
  • สีแดง จะมีพลังงานต่ำสุด (ความยาวคลื่นยาว)
  • สีม่วง จะมีพลังงานมากสุด (ความยาวคลื่นสั้น)
   เมื่อลองนำสีของสเปกตรัมมาเชื่อมโยงเข้ากับกระบวน การลืมตาตื่น Awakening ของ "จักระ" ก็จะพบว่ามีการเลือกใช้สีสันที่เหมือนกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับค่าพลังงานสูง และ ค่าพลังงานต่ำ ตามนี้ครับ
  • จักระที่ 1 ถูกเรียกว่า Muladhara หรือจักระมูละธารณะ สีของจักระระดับนี้คือ สีแดง
    • สีแดง จะมีพลังงานต่ำสุด
  • จักระที่ 7 ถูกเรียกว่า Sahasrara หรือจักระมงกุฏ สีของจักระระดับนี้คือ สีม่วง
    • สีม่วง จะมีพลังงานมากสุด
ภาพเปรียบเทียบแนวดิ่ง ของพลังงานสูงและพลังงานต่ำ
   เมื่อนำทฤษฎีสีนี้มาวิเคราะห์เหตุการณ์ช่วงเวลาที่อีวาลืมตาตื่น เราก็จะพบกับแสงสีที่เป็นตัวบ่งบอกพลังงานของคนๆนั้นปรากฏอยู่ตามจุดต่างๆของอีวาและนักบิน และผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ถูกเรียกว่า "ออร่า" 
   Aura ออร่า คือ รัศมีที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในจิตใจเมื่อเกิดการตื่นของพลังงานทางจิตวิญญาณ  ซึ่งมันจะห่อหุ้มร่างกายคนๆนั้นเอาไว้ด้วยสีสันต่างๆ ซึ่งสีของออร่าจะขึ้นอยู่กับระดับของจักระที่คนๆสามารถปลุกได้ 

  ดังนั้นเมื่ออีวาลืมตาตื่น สีของออร่าที่ปรากฏอยู่บนตัวของอีวา ก็คือสิ่งที่บ่งบอกว่าระดับพลังงาน ภายใน ของอีวาตัวนั้นอยู่ในขั้นที่เท่าไร 
ตัวอย่างที่ 1
ฉากที่อีวา 01 ลืมตาตื่นขึ้นจะมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นที่เราได้เห็นหน้าอกของอีวากลายเป็นสีม่วง ซึ่งเป็นสีที่แสดงถึงระดับจักระของอีวา 01 ที่อยู่ในระดับสูงสุดแล้วนั้นเอง
ตัวอย่างที่ 2  

ฉากที่อีวา 13 ตื่นขึ้น มันจะมีปีกที่ไหลเป็นสีม่วงและจะกลับกลายเป็นสีแดงเมื่อมันหลับตาลง หลังจากหยุดการทำงาน สีที่ปีกคือสีที่สื่อถึงระดับจักระของอีวาที่สูงขึ้นและลดลง
ปีกสีม่วงที่เห็นมาจากเวอชั่น 3.333 หากใครดูเวอชั่น 3.33 จะเห็นเป็นสีแดง 
สาเหตุที่ต้องแก้ เพราะสีมีความจำเป็นต่อการอธิบายสถานะของอีวายังไงหละ
สีม่วงและสีแดง มีความเกี่ยวข้องกับอีวาไร้หัวเหล่านี้ด้วย ทุกคนสงสัยไหมว่าทำไมอีวาสีม่วงพวกนี้ถึงชื่อว่า Eva infinity แล้วทำไมอีวาสีแดงถึงชื่อ Failures of Infinity  ?
  • จักระที่ 7 ถูกเรียกว่า Sahasrara หรือจักระมงกุฏ สีของจักระระดับนี้คือ สีม่วง
    • สหัสราระ มีความหมายว่า ดอกบัวพันกลีบ thousand-fold หรือ อนันต์ , infinite
    • จักระสหัสราระตั้งอยู่บนหัว มันเป็นที่รู้จักกันในนาม Brahmarandhra ประตูสู่พระเจ้า หรือ “ศูนย์ล้านรังสี” เพราะมันเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์
    • ตำราฮินดูเชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดที่ใช้เชื่อมต่อกับเทพเจ้า
   จากความหมายของชื่อจักระที่ 7 จึงทำให้เรารู้ว่าชื่อของพวกมันเกี่ยวข้องกับชื่อของจักระที่ 7 เพราะพวกมันเองก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อนเหมือนกัน และผมจึงตีความว่า อีวาสีแดงเหล่านี้ก็คือคนที่ปลุกพลังกุณฑาลินีของตัวเองไม่สามารถ มันจึงกลายเป็น ความล้มเหลว Failures หรือ ธาตุไฟแตกนั่นเองครับ
   เรื่องของ Eva infinity ยังไม่จบเพราะผมยังไม่ได้เฉลยเลยว่าพวกมันเกิดขึ้นมาจากอะไร หรือด้วยกระบวนการใด โปรดติดตามต่อในพาทหน้าครับ

สรุปเรื่องสีและความหมาย

   ทฤษฏีสีทั้งสองทฤษฎีคือการตีความสีเพื่อดูสถานะของอีวาแต่ละตัวว่า พวกมันมีส่วนประกอบสมบูรณ์มากน้อยขนาดไหน ซึ่งความสมบูรณ์ของคนนั้นย่อมเกิดขึ้นจากทั้ง ส่วนที่เป็น ร่างกาย (Vessel / physical body) และวิญญาณ (Soul / Subttle body)

   ถึงแม้ว่าสีและจำนวนสีของทั้งสองทฤษฎีจะเหมือนกัน แต่การวิเคราะห์สถานะของอีวานั้นต้องดูด้วยว่า มันกำลังบ่งบอกถึงสถานะทางกายหรือทางวิญญาณ เพราะสีทางวิญญาณนั่นจะไม่มีการซ้อนทับกัน แต่สีทางกายภาพจะซ้อนทับกันได้ตามส่วนประกอบที่เพิ่มเข้ามา หวังว่าทุกคนจะไม่สับสนแล้วนำสีมาปะปนกัน
Awake ลืมตาตื่นSleep หลับ
สีม่วงสีแดง
พลังงานสูง (Sahasrara)พลังงานต่ำ (muladhara)
FOKGodFOL
มนุษย์พระเจ้าเทวทูต
สีแดงสีเขียวสีน้ำเงิน

Evangelion 08

   อีวา 08 เป็นอีวาที่มีข้อมูลน้อยมากๆน้อยกว่าอีวา 13 ด้วยซ้ำ เราไม่รู้เลยว่าอีวาตัวโคลนนิ่งมาจากใครหรือมีวิญญาณของใครอยู่ข้างใน ดังนั้นนี่คือการวิเคราะห์เพื่อหาหลักฐานไปพร้อมๆกันกับทุกคน เพราะผมก็ไม่ชัวนักว่ามันจะถูกต้อง และพูดตรงๆว่ายากกว่าอีวา 13 ด้วยซ้ำ

   เกริ่นก่อนว่าการวิเคราะห์ของผมตลอดมามักจะมีตัวเลือก 3 อย่างเสมอ คือ ไม่ซ้ายก็ขวาและ "กลาง" ดังนั้นถ้าคุณเป็นผู้สร้างคุณจะเลือกใช้สีอะไรในการบอกใบ้ถึง FOK หรือ FOL รวมกันเพื่อบ่งบอกตัวตนของอีวาตัวนั้น... 

   ยกตัวอย่างเช่นอีวา 01 กับ 13 ที่ใช้สีม่วงแทน FOL รวมถึงเรื่องการถูกโคลนนิ่งจากอดัม และ 02 จะใช้สีแดงที่สื่อถึง FOK กับการโคลนนิ่งจากลิลิธ ...แล้วอีวา 08 ที่มีสีชมพูหละ? จากการตีความง่ายๆแบบนี้มันทำให้ผมคิดว่าอีวา 08 คือโคลนนิ่งที่เป็นเลือดผสมครับ แต่แค่นี้มันออกจากง่ายเกินไป เพราะอีวาตัวอื่นๆก็มีสีที่ไม่ตรงล๊อคกับหลักการใช้สีแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเราจะไปวิเคราะห์กันต่อว่ามีข้อมูลอะไรอีกบางที่บ่งบอกว่าอีวาตัวนี้เป็นลูกผสม
   
  • มาริ ดวงตาของเธอออกไปทางฟ้าเขียว สีหลักของเธอคือสีชมพู บทบาทของเธอคือแม่สื่อ ความเป็นกลางจึงดูเหมาะสมกับเธอและอีวา 08 มากที่สุด
การเปรียบเทียบสีภายในห้องขับ

   ภาค 3.0 ตอนที่อาสึกะใช้โหมด the beast จะมีไม่กางเขนสีฟ้าปรากฏขึ้นภายในห้องขับ ซึ่งไม้กางเขนอันนี้แสดงถึงพลังเทวทูต (FOL) ในตัวของเธอ และแน่นอนสัญลักษณ์นี้ไม่มีทางเกิดมาจากอีวา 02 ที่เป็นโคลนลิลิธ(FOK)แน่ๆ 
  รวมถึงในภาค 3.0+1.0 ตอนที่อีวา 02 สู้กับอีวา 13 จะปรากฏไม้กางเขนสีฟ้าขึ้นมาก่อนที่จะฉีดเลือดของเทวทูตเข้าไปในอีวา 02 แสดงว่าไม้กางเขนอันนี้มาจากอาสึกะที่เป็นผู้ขับ 
   พอลองมาเปรียบเทียบกับมาริ ในตอนที่มาริใช้โหมด the beast กับอีวา 02 ในภาค 2.0 ภายในปลั๊กจะมีแต่สีแดงเท่านั้น ไม่มีสีฟ้าปรากฏเลยแสดงว่าทั้งคนและอีวาไม่มีใครมี FOL เลยในร่างเลย
   แต่ในตอนที่มาริใช้โหมด the beast กับอีวา 08 มันกลับมีไม้กางเขนปรากฏขึ้นในปลั๊กเหมือนกับกรณีอาสึกะ  จะบอกว่าไม้กางเขนนี้เกิดจากมาริก็คงไม่ใช่เพราะดวงตาของมาริส่องแสงเป็นสีเขียวทั้งสองข้าง กลับกันดวงตาของอีวา 08 ดันกลายสีชมพู ก่อนที่จะกินอีวา 09 ที่มี(FOL)เข้าไปซะอีก นั้นเท่ากับว่าอีวา 08 มี FOL และ FOK อยู่ในร่างแน่นอน และไม้กางเขนอันนี้ก็มาจากอีวา 08 นั่นเอง 
นอกจากสีดวงตาแล้ว ยังมีเรื่องสีของวงแหวนบนหัวและ A.T.field สีชมพูด้วยที่สื่อถึงการรวมกันของ FOL กับ FOK แถมสนามพลังยังมีหน้าตาเหมือนกับอีวา 02 ด้วย
Overlapping - การซ้อนทับ
   อีกหนึ่งความสามารถที่อีวาตัวนี้มีคือ การซ้อนทับ Overlapping การซ้อนทับในที่นี้คือการกัดกินเพื่อรับเอาส่วนหนึ่งของอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในตัวเอง มาริได้ใช้ความสามารถนี้กัดกินอีวา 09-11 ที่มีวิญญาณอายานามิขั้นสูงเป็นนักบิน ซึ่งโคลนนิ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นใหม่ที่ได้รับการปลุกจักระให้ตื่นขึ้นไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเมื่ออีวา 08 กินพวกมันเข้าไปวงแหวนจึงปรากฏขึ้นบนหัวรวมทั้งหมด 4 วง แสดงถึงการตื่นของวิญญาณถึงดวงใน 1 ร่างโดยไม่นับมาริ

การซ้อนทับ อาจหมายถึง Overlapping color การซ้อนทับของสีและแสงก็เป็นได้
Advance Ayanami
   อายานามิขั้นสูงนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มีแค่ 4 คนครับ เพราะมันคือรุ่นผลิตจำนวนมากที่ถูกใช้กับอีวาที่เป็นภาชนะของอดัมทั้ง 4 เครื่องและอีวา 07 ทั้งหลายด้วย เราจึงเห็นวงแหวนปรากฏอยู่บนหัวของอีวาพวกนี้ 
ภาพของอยานามิเรย์ขั้นสูงที่แสดงให้เห็นถึงจักระทั้ง 7 ที่ถูกปลุกจนสมบูรณ์แล้วพร้อมนำไปใช้
 
  เมื่อเข้าใจแล้วว่าวงแหวนเกิดขึ้นจากอะไร ผมก็จะขออธิบายอีกทฤษฎีหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่าจริงๆแล้ว Eva Cures ที่มาริได้รับมานั้น ไม่ใช่ได้มาจากตอนที่ขับอีวา 02 แต่เธอได้รับมันมาจาก อีวา 08 ต่างหาก
  ต้นเหตุของความสงสัยมันมาจาก ตัวอย่างตอนต่อไปที่อยู่ในภาค 2.0 ครับ ซึ่งภายในตัวอย่างนั้น เราจะได้เห็นอีวา 08 ที่ตื่นขึ้นแล้ว โดยมีวงแหวนอยู่บนหัว กับอีกฉากหนึ่งที่เห็นมาริกำลังเปลือยกายอยู่ ซึ่งผมคิดว่าฉากนั้นเป็นฉากที่เธอเพิ่งได้ออกมาจากอีวา 08 หลังจากโดนดูดกลืนเข้าไป จึงทำให้เธอไม่ใส่เสื้อผ้า เหมือนกับฉากในภาค NGE ตอนที่ชินจิออกมาจากอีวา 01 ในสภาพที่เปลือยเปล่า

  ข้อสันนิษฐานนี้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับคำพูดแปลกๆของมาริในตอนที่สู้กับอีวา 09 ใน central dogma "คุณนักบินสำรองของเซเล่ 09 รีบออกมาก่อนจะกลายเป็นภาชนะของอดัมเถอะน่า" คำพูดเป็นการบอกใบ้ว่าเธอเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นอีวา 08 และเธอรู้ว่าเซเล่จะสามารถควบคุมมันเมื่อไรก็ได้ เธอจึงได้เอ่ยปากเตือนเรย์ Q ไปอย่างงั้น
 
  เบาะแสทั้งหมดทั้งมวลเล็กๆน้อยๆของอีวา 08 และมาริทำให้เกิดทฤษฎีเหล่านี้ขึ้นมา ทุกคนจะเชื่อหรือมีข้อโต้แย้งอะไรก็สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันได้ครับ เพราะการวิเคราะห์นี้ใช้การคาดการเดาหลายอย่าง แตกต่างกับนักบินและอีวาตัวอื่นที่มีเบาะแสชัดเจน
   ข้อสังเกต - จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่สีของ A.T.Field เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นน้ำเงินจากการกิน Adam Vessel เข้าไปหลายตัว ซึ่งบ่งบอกว่าร่างกายของอีวาตัวนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปทางฝั่งของ FOL มากกว่า
   และถ้าลองเอาเลขรุ่นของอีวาทั้งหมดที่อีวา 08 กินเข้าไปมาบวกกัน (8+9+10+11+12) ก็จะได้เท่ากับ 50 ที่เป็นตัวเลขของชื่อทั้ง 50 ชื่อของเทพมาดุก รวมถึงการแสดงบทบาทของ Ace killer ด้วยเพราะมันได้รวมรวมพลังของอุลตร้าแมนทั้ง 4 มาไว้กับตัว

NHG series

   ยานรบทั้ง 4 ลำ คืออดัมทั้ง 4 คนที่มาจากมิติอื่น นั่นคือสิ่งที่ผมบอกกับทุกคนมาตลอด แต่เมื่อทุกคนได้เข้าใจถึงหลักการต่างๆและเรื่องของสีแล้ว ผมก็จะขอเฉลยปริศนาอย่างสุดท้ายของ
อดัมทั้ง 4 ให้ได้รู้กัน...แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่อดัมทั้ง 4 คน แต่มันคือ อดัม 3 คน กับ ลิลิธ 1 คน
   สิ่งที่ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามกับได้รู้คำตอบว่าพวกมันไม่ใช่อดัมทั้ง 4 นั้นมาจากรูปภาพและสัญลักษณ์เหล่านี้ที่ปรากฏออกมาในบางช่วงของเรื่อง เมื่อมีการกล่าวถึงสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับพวกมัน
สังเกตไหมว่าในทุกๆภาพที่เกี่ยวข้องกับอดัมทั้ง 4 จะมีอยู่ คนหนึ่งที่ไม่เหมือนคนอื่นอยู่เสมอ และนี่คือคำบอกใบ้ของผู้สร้างที่สื่อออกมาทางสัญลักษณ์และรูปภาพต่างๆให้เราสังเกตถึงความแตกต่าง ดังนั้นการตีความแต่ละรูปจะไม่เหมือนกัน เพราะมันมีคอนเซปที่ต่างกันไปในแต่ละรูป

จับผิดภาพและคำใบ้

  • ภาพแรกที่วงไว้คือ อดัมที่มีจุดอยู่กลางหน้าผาก
    • อดัมตัวนี้ทำให้หลายคนสับสนว่าเป็นตาที่สามของอีวา 01 แต่แท้จริงๆแล้วมันคือลิลิธ เพราะตาที่สามคือสัญลักษณ์ของจักระที่ 6 ของมนุษย์ที่ตื่นขึ้น ซึ่งมนุษย์คือตัวแทนของลิลิธ
  • ภาพที่ 2 เป็นอดัมที่ไม่มี core ให้เห็น
    • เนื่องจาก core ของลิลิธจะแอบซ่อนอยู่ภายในร่าง จึงทำให้แยกแยะได้ง่ายว่าตัวไหนคืออดัม ผู้สร้างจึงไม่ต้องการให้คนดูเห็น Core ของมัน
    • สัญลักษณ์ที่อยู่บนอกของอดัมทั้ง 3 คือ แบบจำลองของ Atom (Link)
    • เป็นการเล่นคำระหว่าง atom กับ adam
    • เมื่อผู้สร้างไม่ต้องการให้เห็นสัญลักษณ์ของอะตอมบนหน้าอก จึงทำให้คนที่ไม่เห็น core คนนี้ไม่ใช่อดัมแต่เป็น ลิลิธ
  • ภาพที่ 3 “เขา horn” ที่หายไป
    • เขา คือลักษณะเด่นของอดัม แต่เจ้าตัวนี้มันไม่มีเขา
    • ถึงแม้ตัวแรกจะอยู่ในระยะใกล้จนมองไม่เห็นเขาของมันแต่จากการวิเคราะห์ข้อแรกและข้อสอง จึงทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่า คนที่ไม่มีเขาคนนี้คือ ลิลิธ
  • ภาพที่ 4 เรย์ขุ้นสูงทั้ง 4 คน
    • เรย์ขั้นสูงทั้ง 4 สื่อถึงภาชนะของอดัมและตัวยาน
    • แต่ทำไมมีเรย์อยู่คนหนึ่งที่ไปแปลกแยกจากคนอื่นกัน ?
    • เป็นอีกหนึ่งคำใบ้ที่ต้องการสื่อถึงคนที่แตกต่างกับสามคนนั้น ซึ่งหมายถึง ลิลิธ
  • ภาพที่ 5 อดัมทั้ง 4 ที่โดนขีดทับ
    • รูปอดัมทั้ง 4 จะมีอยู่คนหนึ่งที่มีรอยแตกจนบดบังใบหน้า
    • ลายแตกของแผ่นหินเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิน
    • น่าจะสื่อถึงลิลิธที่ไม่เข้าพวก
การตีความแต่ละรูปจะไม่เหมือนกันและจะแบ่งแยกไปตามความหมายที่ต้องการจะสื่อ แต่โดยรวมแล้วเราจะเห็นว่าจะมีอยู่ 1 คน ที่แตกต่างจากคนอีก 3 คนเสมอ ซึ่งมันคือสิ่งที่ผู้สร้างต้องการจะสื่อถึงตัวตนของลิลิธ
   เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันว่าอดัมทั้ง 4 คนนี้ มันมีลิลิธแอบแฝงเข้ามาเป็นอดัมด้วยหนึ่งคนและลิลิธคนนั้นถูกนำมาสร้างเป็นยาน AAA Wunder นั่นเองครับ ยานลำนี้มีความหมายแฝงอยู่เยอะมาก อย่างแรกเพื่อสื่อถึงความหวังและพลังของมนุษยชาติตามชื่อกลุ่มของมิซาโตะ Wille (ที่ในภาษาเยอร์มันแปลว่า ความหวัง) ซึ่งลิลิธคือตัวตนแห่งความหวัง
  
   ชื่อยาน AAA wunder สามารถตีความได้ว่า A คืออดัม 3 คน และ Wunder คือลิลิธ

จำนวนหอกที่แท้จริง

   เมื่อมีลิลิธมาแทนที่อดัม ก็จะเท่ากับว่าหอกในเหตุการณ์ second impact จะมีหอกแคสซิอุส 2 เล่ม และลองกินุส 3 เล่ม และทั้งหมดจะสลับที่กันตามไทม์ไลน์นี้ครับ 

ไทมไลน์ของหอกเล่มที่เปลี่ยนรูปร่างไปมา

  • ลิลิธที่มาโลกทางยานอวกาศ แต่หอกของลิลิธถูกทำลายตอนมายังโลก
    • ลิลิธไม่มีหอกและอดัมโดยหอกของตัวเองหยุดไว้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เกิดขึ้นมาได้
  • หอกลองกินุส 1 เล่มของอดัมที่มาจากต่างมิติจะโดนเปลี่ยนเป็นแคสซิอุสจากการสัมผัสลิลิธ
    • เหตุการณ์ 2nd impact
  • หอกแคสซิอุสจะถูกเปลี่ยนเป็นหอกลองกินุสอีกครั้งโดยการสัมผัสของอีวา 06 ที่เป็นอดัม
    • เหตุการณ์ 3rd impact
  • หอกลองกินุสจะกลายเป็นหอกแคสซิอุสในตอนที่อีวา 01 แย่งมาจากอีวา 13
    • เหตุการณ์ additional impact
ต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์ถึงตัวหอกทั้งสามเล่มในยาน wunder
   ในเมื่อสีสามารถบ่งบอกถึงตัวตนของสิ่งที่ต้องการสื่อได้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากกับฉากที่หอกทั้งสามเล่มถูกนำมารวมกันฉากนี้ สีแดงคือหอกแคสซิอุสของลิลิธอีกตัว และสีฟ้าคือหอกลองกินุสของอดัมแต่สิ่งที่แปลกคือทำไมหอกอีกเล่มที่ควรเป็นหอกลองกินุส(สีฟ้า)ถึงเป็นสีขาว?
   จากการวิเคราะห์เรื่องสีของแสง สีขาวจะเกิดขึ้นได้จากการมีแม่สี 3 สีคือ น้ำเงิน แดง เขียว
ซึ่งหากสังเกตถึงรูปลักษณ์ของหอกไกอุสที่เกิดจากการรวมกันของหอกทั้งสาม ทุกคนจะเห็นว่าเกลียวของหอกสีแดงและน้ำเงิน มันกำลังพันเข้ามาที่หอกเล่มตรงกลางที่เป็นสีขาว ผมจึงคิดว่าหอกสีขาวเล่มนี้จริงๆแล้วมันคืสีน้ำเงินที่ตอนนี้กลายเป็น สีเขียว ที่ถูกสีน้ำเงินและสีแดงมาซ้อนทับกันจนกลายเป็นสีขาว  โดยใช้หลักการตีความแบบเดียวกับ 13 เลยครับ 

แล้วทำไมหอกสีน้ำเงินเล่มนี้ถึงควรเป็นสีเขียว ?

   จากการวิเคราะห์เรื่องสี สีเขียวหมายถึง พระเจ้า หรือ จุดเริ่มต้น ที่สามารเปลี่ยนไปเปลี่ยนระหว่างสองฝั่งได้ และยาน wunder ก็มีสิ่งเหล่านี้อยู่ด้วยทั้งสองอย่างดังนี้ครับ
อย่างแรกที่ทุกคนรู้จากพาทที่ 2 คือยาน NGH ทั้งหลายทำงานเหมือนกับอีวาโดยมีแต่ละส่วนประกอบตามนี้
  • เมื่อมีส่วนกระกอบครบเรียบร้อยแล้ว “ยานรบ” จะมีวงแหวนปรากฏเกิดขึ้นเพื่อแสดงสถานะ การลืมตาตื่น (awakening) หรือที่เรียกว่าโหมด “ยานบิน”
   ยาน wunder ที่มีอีวา 01 เป็นวิญญาณจะแสดง A.T.field ออกมาเป็นสีแดงซึ่งจะตรงข้ามกับยานลำอื่นๆของเนิร์ฟที่มี A.T.field เป็นสีน้ำเงิน แต่ทว่าจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ A.T.field ของยาน Wunder เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน

   สาเหตุเกิดมาจากโดนอีวา 09 ที่เป็นภาชนะของอดัมทำการ hijack ระบบไป ดังนั้นเมื่อผู้ควบคุมยานที่เปรียบเสมือนกับเป็น จิตใจถูกเปลี่ยน ระบบการทำงานก็จะถูกเปลี่ยนตามเช่นกัน จาก AAA Wunder เปลี่ยนไปเป็น NHG Buβe ซึ่งระบบทั้งสองที่ว่านี้ ก็คือสิ่งทำให้ยานลำนี้เป็น พระเจ้า ในอีกรูปแบบเช่นกันครับ
อีวา 09 ทำการยึดครองยานด้วยการปล่อยหนวดสีฟ้าเหล่านี้ออกมาโดยมุ่งเน้นไปที่เครื่องยนต์หลักที่มีอีวา 01 อยู่เป็นหลัก ...แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่เห็น
 ในช่วงที่ยานกำลังจะโดนยึดจะมีอยู่ฉากหนึ่งที่หนวดเหล่านี้ได้ทำการชอนไชเข้าไปในตัวยานด้วย ซึ่งตำแหน่งที่มันมุ่งหน้าไปก็คือตำแหน่งที่มี กระดูกสันหลัง อยู่นั่นเองครับ และนี่คือตำแหน่งจริงๆที่มันทำการ hijack ยานจากพวกมิซาโตะโดยการเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังอันตรงกลางที่เป็นระบบควบคุมของตัวยาน ไม่ใช่ที่เครื่องยนต์หลัก
   การเชื่อมต่อทั้งหมดของยาน Wunder จะถูกส่งผ่านจากสะพานเดินเรือที่เป็นผู้ควบคุมไปที่กระดูกสันหลังอันที่อยู่ตรงกลาง(ALPHA) มันจึงทำให้ยานลำนี้เหมือนกับมี 2 โหมดการทำงานในหนึ่งร่าง (2 in 1)  หอกที่ควรจะเป็นสีน้ำเงินจึงควรจะเป็นสีเขียวตามการตีความก่อนหน้านี้ว่า หอกเล่มนี้คือสิ่งที่อยู่ ตรงกลางระหว่าง 2 ฝั่ง และซ้อนทับกันจนเป็นสีขาว

ความคิดส่วนตัว - ผมคิดว่าหอกไกอัสคือหอกอันสีขาวอันเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อหอกทั้ง 3 เล่มรวมกันมันจะกลายเป็นชื่อเต็มของนายทหารโรมัน Gaius Cassius Longinus 

ระบบการทำงานของยาน

   อาจมีคำถามว่าถ้ายาน Wunder มีกระดูกสันหลัง แสดงว่ายานลำอื่นก็ต้องมีกระดูกสันหลังอยู่ข้างในด้วยใช่ไหม คำตอบคือ "ไม่มี" เพราะยานลำอื่นๆใช้ระบบที่แตกต่างกัน ที่เรียกว่า Opfer type ซึ่งแปลว่า เครื่องสังเวย (เป็นชื่อรุ่นอีวา 09-12)
   เครื่องสังเวยหรืออีวา 09-12 มีสถานะเป็น "วิญญาณหลัก" ที่ "ลืมตาตื่นด้วยตัวเอง" อยู่แล้วจากการกลืนกินอายานามิขั้นสูง พวกมันจึงสามารถควบคุมยานได้โดยตรง ด้วยการรับคำสั่งจากฟุยุสึกิผ่านระบบ "Dummy System" ซึ่งเขามีสถานะเป็น "วิญญาณรองที่คอยสั่งการ" ด้วยเหตุนี้เองภายในห้องขับของตัวยานจึงไม่จำเป็นต้องมีลูกเรือหรือแผงควบคุมใด 
   

ฟุยุสึกิ : ยานลำนี้ไม่ได้ถูกออกแบบให้มีคนควบคุมตั้งแต่แรก ฉันคิดว่าฉันบุ่มบ่ามไปหน่อย

 

   ซึ่งจะแตกต่างกับยาน Wunder ที่ใช้ระบบ Spinal Linkage System ที่เป็นการสั่งการแบบควบคุมด้วยมือผ่านสะพานเดินเรือ โดยเข้าไปอยู่ใน Entry plug ที่มีสถานะเป็น "วิญญาณรอง" แล้วเชื่อมต่อไปหาอีวา 01 ซึ่งเป็น "วิญญาณหลัก" ที่กำลัง "หลับอยู่" ดังนั้นการตื่นของยานลำนี้จึงไม่ใช่การตื่นที่ถูกต้องแต่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาซัพพอท (มีคนขับ)
   จะเห็นว่าระบบของทั้งสองขึ้นอยู่กับ การตื่นหรือหลับของวิญญาณหลัก เพราะวิญญาณหลักคือตัวควบคุมร่างกาย หากวิญญาหลักกำลังหลับอยู่(อีวา01) การขยับร่างกายจำเป็นจะต้องมีการเชื่อมต่อแยกออกมา(สะพานเดินเรือ-Entry plug) เหมือนกับนักบินที่นั่งอยู่ใน Entry plug

   และด้วยความแตกต่างนี้เองยานรบ NHG ของฝั่งเนิร์ฟทั้งหลายจึงไม่จำเป็นต้องมีกระดูกสันหลังในการเชื่อมต่อเพราะอีวา 09-12 ที่เป็นวิญญาณหลักของยานมีสถานะตื่นอยู่แล้ว ซึ่งเท่ากับว่า ไม่มีหอกอยู่ภายในยานของเนิร์ฟเลย และจำนวนของหอกกับจำนวนอดัมและลิลิธทั้งหมดจะลงตัว

เพิ่มเติม

   อันที่จริงแล้วเรื่องโหมด 2 in 1 ของยาน wunder มันถูกใบ้มาตั้งแต่ในตัวอย่างตอนต่อไปของภาค 2.0 แล้วครับ หากสังเกตที่วงแหวนเวทย์รูปนี้ ในแต่ละมุมเราจะเห็นสัญลักษณ์ของ
อุลตร้าแมนที่หมายถึงคน 1 คน หรือยาน NHG 1 ลำ และมันจะต้องเป็นสัญลักษณ์ของ
อุลตร้าแมนทั้ง 4 คนที่ถูกตรึงไม้กางเขนโดยไม่รวมอุลตร้าแมนเอส แต่ทว่ามุมซ้ายบนที่ควรจะเป็นสัญลักษณ์ของอุลตร้าแมนโซพี่ มันกลับกลายเป็นอุลตร้าแมนเอสแทน สาเหตุเป็นเพราะยาน wunder ไม่ได้ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นคน 1 คนอีกต่อไปแล้วครับ 

   สัญลักษณ์ของอุลตร้าแมนเอซเป็นการบอกใบ้ถึงรูปแบบ 2 in 1 ซึ่งสื่อมันถึงยาน Wunder ว่า 2 ระบบในหนึ่งร่าง ( AAA Wunder กับ NHG Buβe) 
   
   โครงสร้างจริงๆของตัวยานยังคงเป็นแค่ ลิลิธเพียงคนเดียว สิ่งที่แปรเปลี่ยนให้มันเป็นลิลิธหรืออดัมก็คือวิญญาณ ซึ่งวิญญาณของ NHG แต่ละลำก็คือ อีวา ในกรณีของยาน wunder คืออีวา 01 ที่เป็นลิลิธ กับอีวา 09 ที่เป็นอดัม
นอกจากคำใบ้เรื่องสัญลักษณ์แล้วยังมีคำใบ้ที่มาจากวงแหวนสีรุ้งของอีวา 09 ในภาค 3.0 ด้วย 

  อีวา 09 ถูกบอกเล่าว่าเป็นเจ้านายของยาน Wunder ผู้สร้างจึงออกแบบใบหน้าของอีวา 09 ให้เหมือนกับยาน เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจว่า ทั้งสองคือสิ่งเดียวกัน และใช้อีวาตัวนี้เป็นตัวแทนของยาน wunder ด้วยการใส่สีรุ้งเข้าไปที่วงแหวนเพื่อสื่อว่ายานลำนี้ทำงานด้วยระบบแบบ 2 in 1
แล้วทำไมวงแหวนสีรุ้งถึงมีความหมายว่า 2 in 1 ? ก็เพราะว่าในขณะนั้นอีวา 13 ที่ใช้ระบบแบบ 2 in 1 เหมือนกัน มันมีวงแหวนเป็นสีรุ้งเหมือนกันยังไงหละ 

ดังนั้นวงแหวนสีรุ้งอันนี้จึงไม่ได้มีความหมายใดๆกับอีวา 09 ทั้งทางกายภาพและวิญญาณ แต่มันมีความหมายโดยตรงไปที่ยาน wunder เพราะทั้งสองคือสิ่งเดียวกัน 

  ภายหลัง อีวา 09 ที่สร้างขึ้นใหม่ในภาค 3.0+1.0 จะงมีหน้าตาและวงแหวนเหมือนกับภาชนะของอดัมตัวอื่นๆ เพราะผู้สร้างไม่ได้ต้องการให้เกิดการเปรียบเทียบกับอีวา 13 เหมือนอย่างในภาค 3.0 อีกแล้ว
อีวา 13AAA wunder (อีวา 09)
วงแหวนสีรุ้งวงแหวนสีรุ้ง
2 in 1 mode2 in 1 mode

ความจริงและจินตนาการ

เก็บตกรายละเอียดฉาก Near Third Impact

   เข้าสู่ช่วงตีความแบบลึกซึ้ง ผมขอวนกลับมาที่เรื่องของจักระและการตื่นของพลังอีกครั้ง เพราะมันมีกิมมิคที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของลิลิธและอดัมซ่อนอยู่
  • เมื่อตีความออกมาก็จะได้ความหมายหลักๆ 4 ข้อนี้ที่เกี่ยวข้องกับจักระที่ 1 และ 7
    • พลังของชายและหญิง
    • ล่างขึ้นบน
    • มนุษย์และเทพ
    • กระแสไฟฟ้า

จักระที่ 7 สหัสสราระ Sahasrara

   จักระตามหลักโยคะศาสตร์ : ในร่างกายของมนุษย์เรามีพลังไฟฟ้าพลังขั้วบวกอยู่ที่ตอนบนของศีรษะพลังขั้วลบอยู่ปลายสุดของกระดูกสันหลังระหว่างขั้วทั้งสองนี้เองที่เกิดพลังชีวิตขึ้น(อีเทอร์หรือปราณ) เมื่อใดที่กระแสไฟฟ้าขั้วลบสามารถแล่นขึ้นไปรวมกับขั้วบวกได้ เมื่อนั้นสภาวะในร่างกายของมนุษย์เราจะบรรลุความสุขที่สุด ทั้งร่างกายและจิตใจ 
   การเปิดใช้งานสหัสราระ เรียกว่าเป็นการรวมกันหรือการบรรจบกันของเทวีและเทพ ศักติ (เทพหญิง) อาศัยอยู่ที่จักระที่ 1 muladhara มูละธารณะ และเดินทางผ่าน susumna (ทางเดินกลางของนาดี) เพื่อรวมตัวกับตรีเอกานุภาพของเทพฮินดูทั้ง 3 พระศิวะ ("ผู้ทำลาย") พรหมและพระวิษณุ (ตรีมูรติ) ที่ Sahasara สหัสราระซึ่งเป็นที่เชื่อมต่อของจิตอันศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์แบบและการรวมเป็นหนึ่งอันเป็นนิรันดร์
  • จักระที่ 7 ถูกเรียกว่า Sahasrara หรือจักระมงกุฏ สีของจักระระดับนี้คือ สีม่วง
    • สหัสราระ มีความหมายว่า ดอกบัวพันกลีบ thousand-fold หรือ อนันต์ , infinite
    • จักระสหัสราระตั้งอยู่บนหัว มันเป็นที่รู้จักกันในนาม Brahmarandhra ประตูสู่พระเจ้า หรือ “ศูนย์ล้านรังสี” เพราะมันเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์
    • ตำราฮินดูเชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดที่ใช้เชื่อมต่อกับเทพเจ้า
  • พระศิวะ ถูกเปรียบเทียบให้เป็น อดัม
    • อยู่ที่ตำแหน่งของ จักระสหัสราระ = พัน , อนันต์  Thousand, infiniteจักรสหัสราระตั้งอยู่บนหัว
    • มันเป็นที่รู้จักกันในนาม Brahmarandhra ประตูสู่พระเจ้า หรือ “ศูนย์ล้านรังสี” เพราะมันเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์
    • ตำราฮินดูเชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดที่ใช้เชื่อมต่อกับเทพเจ้า สีของจักระขั้นนี้จะเป็นสีม่วง แต่ในศาสตร์ของสหจะโยคะจะใช้เป็นสีรุ้ง 7 สี หรือสีขาว ดังนั้นเวลาอีวาลืมตาตื่น วงแหวนที่ปรากฏจึงเป็น สีขาว
    • จักระสหัสราร ถูกพูดถึงว่าเป็นวิหารของพระศิวะ (ผู้ทำลาย) รวมถึงพรหมและพระวิษณุ ตรีมูรติ
  • พระนางกุณฑาลินี ศักติ ถูกเปรียบเทียบให้เป็น ลิลิธ
    • อยู่ที่ตำแหน่ง จักระมูละธารณะ จักระที่อยู่ล่างสุดตัวแทนของ ความไร้เดียงสา ความบริสุทธิ์ ความเป็นธรรมชาติ
    • ลัทธิศักติ หรือ ศากติ (ภาษาสันสกฤต: Śāktaḥ ศากตะห์, แปลว่า “อำนาจหลังงานหลัก เทวีผู้เป็นนิรันดร์”) เป็นลัทธิหลักลัทธิหนึ่งของศาสนาฮินดูที่มีศูนย์กลางทางธรรมเนียมอยู่รอบเทวี (เทพเจ้าสตรี)
    • ศักติในทางอภิปรัชญาคือความเป็นจริงและหมายถึง สตรี
    • เทพเจ้าสูงสุดคือองค์ศักติซึ่งประกอบด้วยเทวีหลายองค์และทุกพระองค์ล้วนถือว่าเป็นเทวีสูงสุดองค์เดียวกัน
  ภาพในหนังสือ Dead sea scroll จึงตีความดาวทั้งสามดวงของอดัมให้หมายถึง เทพทั้ง 3 ของฮินดู แขนสีแขนของอดัมคือรูปลักษณ์ของพระศิวะที่มี 4 แขน(หรืออีวา 13) ส่วนดาวดวงเดียวที่อยู่กับลิลิธหมายถึงเทวีที่เป็นผู้หญิงทั้งหมดที่ถูกเรียกรวมกันว่า ศักดิ จึงมีแค่ดาวดวงเดียว 
จักระที่ 7 นี้มีความหมายเหมือนกับเซฟิร่าดวงที่ 10 (KETER כתר ) ที่อยู่สุดปลายทางแผนผัง Tree of Life  คือ มงกุฎ, การถือครองบังลังก์, พระเจ้า, แสงสว่างที่ไม่สิ้นสุดและความรู้ที่ไร้ขอบเขต,

การตื่นรู้

   "โยคะ" หมายถึง การรวมเป็นหนึ่งกับพลังศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ทุกคนต่างเกิดมาพร้อมกับกลไกอันละเอียดอ่อนภายใน หากกลไกเหล่านี้ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น ก็จะมอบ "สหจะโยคะ" การรวมเป็นหนึ่งกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นไปโดยธรรมชาติ" ให้กับผู้นั้น ประสบการณ์นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "การตระหนักรู้ในตนเอง"
   ดวงตาสีม่วงของชินจิแสดงถึงสถานะของจักระที่ 7 ที่หมายถึง Infinity แต่ถ้าตีความอีกอย่างมันก็จะสามารถสื่อถึง "การเติบโตทางความคิด" ได้เช่นกัน ซึ่งความคิดหรือความเข้าใจที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะหาหรือมอบให้กันได้ง่ายๆ เพราะมันมาจากประสบการณ์ การลองผิดลองถูก รวมถึงการมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำลงไปด้วย ดังนั้นดวงตาสีม่วงอันนี้จึงสื่อถึง "การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของชินจิ" นั่นเอง

จักระที่ 6 อาชญา The Third Eye Chakra

   จักระที่ 6 จะอยู่บริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้ว จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วมีหน้าที่เป็นตาดวงที่สาม ช่วยให้เข้าสมาธิได้ง่าย ช่วยให้เกิดญาณรู้ มีตาทิพย์ มีจิตใจสงบสุข เป็นศูนย์กลางสัญชาตญาณ สามารถรู้และเข้าใจในเรื่องต่างๆที่อยากรู้ได้เองโดยไม่ต้องเรียน ความรู้แจ้ง
   คำว่า อาชญา มาจากธาตุ ชฺญา แปลว่า รู้ และอุปสรรค อา เมื่อรวมกันแปลว่า คำสั่งหรือการอนุญาต จักรนี้เป็นจักรที่สำคัญยิ่งเพราะเป็นดุจประตูสุดท้ายที่พลังกุณฑลินีต้อง เดินผ่านเพื่อไปขึ้นไปรวมเป็นหนึ่งกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และหากจักรนี้อุดตันมาก นอกจากพลังจะเดินทางผ่านไม่ได้แล้ว อาจมีผลทำให้พลังไม่สามารถตื่นขึ้นได้ 
   ชินจิที่สามารถปลุกจักระจนไปถึงขั้นที่ 7  ย่อมที่ได้รับความสามารถนี้มาเช่นกัน ทำให้เขาสามารถมองเห็นเรย์ที่นั่งอยู่ในห้องนักบินได้ ทั้งๆที่เรย์นั้นเป็นร่างดวงวิญญาณ

จักระที่ 4 จักระหัวใจ Heart chakra

   อนาหตะจักระ (The Heart Chakra)
ตั้งอยู่ตรงกลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ ตรงกับ Thymus gland อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ หัวใจ และ ระบบหมุนเวียนโลหิต เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริงอย่างไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ความเมตตากรุณา และ ความเสียสละ 
  ความหมายของจักระนี้เป็นที่มาของฉากที่เราได้เห็น Core ของอีวา 00 วางตัวอยู่ในแหน่งด้านล่าง Core ของอีวา 01 ซึ่งหมายถึงความรักของเรย์และชินจินั่นเอง และหากดูสีของจักระจากศาตร์ของสหจะโยคะจะพบว่า สีที่อยู่ในตำแหน่งนี้คือน้ำเงินและสีแดงที่แทนตัวอีวา 01 (อดัม)และอีวา 00 (ลิลิธ)
This image has an empty alt attribute; its file name is e0b981e0b89fe0b8abe0b981e0b89fe0b8abe0b981e0b89fe0b8ab.jpg
   

Proton Neutron Electron

หัวข้อนี้มีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่จะอธิบายในพาทที่ 6 ซึ่งอีวาได้นำเสนอออกมาในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ที่ต้องถูกตีความอีกเช่นกัน คล้ายกับการตีความกระบวนการคัดลอก dna ของอีวา 
  • The International Atomic Energy Agency ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ
  • เป็นองค์การระหว่างประเทศซึ่งมุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ และห้ามการใช้สำหรับความมุ่งหมายทางทหารทั้งปวง
  • หน้าที่ของหน่วยงานนี้คล้ายกับ IPEA International Project Evangelion Agency
    ในเรื่องอีวาเกเลี่ยน
   โครงสร้างของอะตอม ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถมองเห็นได้ล้วนเป็นสสารทั้งสิ้น สสาร (Matters) คือสิ่งที่มีตัวตนมีน้ำหนัก และจะอยู่ในรูปของของแข็ง ของเหลว และก๊าซ   ภายในอะตอมนั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็น "แกนกลาง" เรียกว่า "นิวเคลียส" (Neucleus) และภายในนิวเคลียสยังประกอบด้วย 
  1. โปรตอน (Proton) ซึ่งมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็น ประจุบวก
    • อนุภาคชนิดนี้เป็นอนุภาคที่ถูกตรึงแน่นอยู่ในนิวเคลียส
  2. อิเล็กตรอน (Electron) เป็นอนุภาคเล็กๆ ที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นประจุลบ ซึ่งจะโคจรอยู่รอบ ๆนิวเคลียสด้วยความเร็วสูง
    • เนื่องจากอิเล็กตรอนที่วิ่งอยู่รอบ ๆ นิวเคลียสจะวิ่งด้วยความเร็วสูง จึงทำให้อิเล็กตรอนสามารถที่จะเหวี่ยงตัวเองออกจากวงโคจรได้เสมอด้วยแรงหนีศูนย์กลาง แต่ภายใน นิวเคลียสมีโปรตอนซึ่งเป็นประจุบวกจะช่วยดึงอิเล็กตรอนเอาไว้ ไม่ให้หลุดจากวงโคจรไปได้ง่าย ๆ
    • อิเล็กตรอนเท่านั้นที่เคลื่อนที่ได้ จึงทำให้เกิดการไหลของกระแสไฟฟ้า
  3. นิวตรอน (Neutron) จะไม่แสดงคุณสมบัติทางไฟฟ้า คือเป็นกลาง

International Project Evangelion Agency (IPEA)

  • International Project Evangelion Agency IPEA ทำงานโดยอิสระจาก Nerv เป็นองค์กรที่เข้ามาจัดการเกี่ยวกับการครอบครองอีวาของแต่ละประเภทภายใต้สนธิสัญญาวาติกัน
  • แต่เราไม่ได้มาวิเคราะห์องค์กรนี้ สิ่งที่เราจะวิเคราะห์ก็คือโลโก้ขององค์กรนี้ที่มันมีลักษณะเหมือนกับ โครงสร้างของอะตอม
  • ซึ่งอะตอมที่ว่าก็คือ อีวา 01 ในเหตุการณ์ตอนท้ายเรื่องของภาค 2.0 นั่นเองครับ
   เมื่อนำอนุภาคต่างๆที่อยู่ในอะตอมมาตีความ เราก็จะเข้าใจโครงสร้างและตัวแทนของสัญลักษณ์ต่างๆตามนี้ครับ 
  • Core ของอีวาคือ “นิวเคลียส” (Neucleus)
    • การตีความว่า core คือ นิวเคลียส จะเชื่อมโยงกับเนื้อหาในพาทต่อไป
  • Core สีฟ้าอันเล็ก คือ Core ของอีวา 01
  • Core สีแดงอันใหญ่ คือ Core ของอีวา 00
    • สาเหตุที่ต้องวาด core ให้ใหญ่กว่าอีกอันน่าจะทำเพื่อสื่อถึง Core 00 ที่อยู่ใน Core เทวทูตตนที่ 10 ที่มีขนาดใหญ่กว่า
  • ชินจิ ถูกแทนที่ด้วยอิเล็คตรอน ประจุลบ
  • เรย์ ถูกแทนที่ด้วยโปรตรอน ประจุบวก
  • อิเล็คตรอนชินจิ คือ ขั้วลบ ที่สามารถเคลื่อนไหวได้
    • อิเล็กตรอนสามารถที่จะเหวี่ยงตัวเองออกจากวงโคจรได้เสมอด้วยแรงหนีศูนย์กลาง
    • ชินจิถอดตัวเองออกจากที่นั่งคนขับเพื่อเคลื่อนตัวไปหาเรย์
  • โปรตอน เรย์ ซึ่งเป็นประจุบวกจะช่วยดึงอิเล็กตรอนเอาไว้ ไม่ให้หลุดวงโคจร
    • เปรียบเสมือนกับแรงดึงดูดของผู้หญิงที่ทำให้ผู้ชายหลงรัก เช่นเดียวกับ ชินจิที่รู้สึกสนใจในตัวของเรย์

เมื่อใดที่กระแสไฟฟ้าขั้วลบสามารถแล่นขึ้นไปรวมกับขั้วบวกได้ เมื่อนั้นสภาวะในร่างกายของมนุษย์เราจะบรรลุความสุขที่สุด ทั้งร่างกายและจิตใจ 
   เมื่อสิ่งต่างๆมันบ่งบอกได้ชัดเจนแบบนี้แล้ว เรย์ในภาค 1.0-2.0 ก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นนางเอก(ครึ่งแรก)ของหนังชุดนี้เลยหละครับ เพราะทั้งสองแสดงความห่วงใยและโหยหากันมาตลอด และอาสึกะก็ยอมเลี่ยงให้เรย์ได้ชินจิไป 
   แต่เมื่อเข้าภาค 3.0 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะชินจิได้รับรู้ความจริงถึงตัวตนของเรย์และแม่ ทำให้เรย์ถูกลดบทบาทลง อาสึกะจึงได้กลับมาทวงบทบาทของเธอคืน และเธอคือนางเอกตัวจริงของอซีรี่นี้โดยแท้เพราะเธอคือคู่ตรงข้ามของชินจิมากตลอด และมันได้ถูกวางพล็อตเอาไว้หมดแล้วตามสัญลักษณ์เหล่านี้
  • ฝั่งซ้ายของอดัมและเทวทูต
    • อิทะ หมายถึงพลังงานของจัทรา (หยิน)
    • หยิน คือพลังแห่ง สตรีเพศ 
  • ฝั่งขวาของลิลิธและมนุษย์
    • บิงคละ หมายถึงพลังงานของสุริยะ (หยาง)
    • หยาง คือพลังแห่ง บุรุษเพศ
   จากภาพและสัญลักษณ์ - ปกติแล้วแผนภาพของเส้นทางนาฑีเหล่านี้อยู่คนละข้างกัน แต่ผู้สร้างกลับเลือกให้ซ้ายและขวาสลับที่กัน จึงกลายเป็นว่าฝั่งซ้ายที่เป็นอดัมจะถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ของผู้หญิงทั้งๆที่อดัมเป็นผู้ชาย ซึ่งมันผิดปกติอย่างมาก...ดังนั้นสาเหตุที่ต้องสลับที่กันจึงมีความหมายอื่นแอบแฝงที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในช่วงท้าย ซึ่งผมตีความว่า
อดัมฝั่งซ้ายคือ อีวา13 กับอาสึกะ(หยิน) 
ลิลิธฝั่งขวาคือ อีวา 01 กับชินจิ(หยาง) 
https://yinyoga.com/yinsights/ida-and-pingala/
   ทั้งสองจะเป็นคู่ตรงข้ามกันในทุกๆสิ่งทุกอย่างตลอดทั้งเรื่อง "แม้จะแตกต่างกันแต่ทั้งสองจะอยู่คู่กันเสมอถึงแม้จะไม่เหมือนกันแต่ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล " ดังนั้นสถานะและบทบาทของทั้งสองจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามธีมต่างๆที่มีอยู่ เพราะธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆไว้เป็นคู่
ธีมอาสึกะชินจิ
เพศหญิงชาย
สีแดงน้ำเงิน
บทบาทเทพีอิสตาร์เทพมาร์ดุก
ตัวตนเทวทูตมนุษย์
พรผลไม้แห่งชีวิตผลไม้แห่งปัญญา
กายภายในกายสีน้ำเงินกายสีแดง
อีวา(ท้ายเรื่อง)อีวา 13 อีวา 01
หยินหยางอิทะ /หยินบิงคละ/หยาง
และอย่าลืมอีกคนหนึ่งที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง แสงสีน้ำเงิน และ แสงสีแดง นั่นคือ มาริ แสงชมพู

สรุป

   พาทนี้ถือเป็นพาทที่ยากที่สุด ทั้งในแง่การวิเคราะห์ การตีความ และการนำเสนอ เพราะอีวาไม่ได้เล่าเรื่องแค่ในแง่ของความจริงเพียงอย่างเดียว จิตนาการก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย และไม่ใช่แค่เรื่องเล่าหรือตำนานที่เป็นคำใบ้ แต่ยังมีเรื่องของวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้องเพื่ออธิบายในหลายๆอย่างอีกด้วย 

   ผมจึงใช้เวลาในการเขียนพาทนี้นานถึง 3 เดือน และเขียนซ้ำถึง 3 รอบ และยังรวมไปถึงการกระจายเนื้อหาไปในพาทอื่นๆด้วย เพราะหลายๆอย่างมันเชื่อมต่อกันไปหมด การจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจจึงต้องเขียนใหม่แล้วเขียนใหม่อีก เสียเวลาไปมากมาย คอมพิวเตอร์ก็พังแล้วพังอีกทั้งซื้อใหม่และหยิบยืม เรียกได้ว่าเจ็บสาหัสมากกว่าจะมาถึงบทนี้ แต่เพียงเท่านี้ผมก็ปล่อยวางได้ในระดับหนึ่ง เพราะเนื้อหาในบทต่อไปจะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรมากในส่วนของอีวาอีก ซึ่งแต่เดิมแล้วผมคิดว่าจะกระจายเนื้อหาไปบทต่อไป แต่ทำไปทำมาเมื่อทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันหมด ผมจึงยัดทุกอย่างเข้าไปในบทนี้ใครครบ มันจึงมีเนื้อหาเยอะกว่าบทอื่น ใครที่อ่านแล้วเข้าใจก็ถือว่าท่านเข้าใจเนื้อหาไปแล้วกว่า 70 % อีก 30 % ที่เหลือคือการทำงานของ impact ที่อยู่ในบทต่อไปนั่นเองครับ

   สุดท้ายหากเนื้อหาในพาทนี้มีความขัดแย้งกันหรือผิดพลาดประการใดก็ขอให้มันถูกนำใช้ในการสร้างทฤษฎีอื่นๆต่อไปหลังจากนี้ด้วยเหตุและผลแล้วกันครับ 

บทความไม่หวังผลตอบแทน
แต่ถ้ามันมีประโยชน์ช่วยไขข้อข้องใจให้กับคุณได้ สามารถโดเนทให้ผมได้ตาม QR code นี้

หรือ https://www.paypal.com/paypalme/thera0095

Leave a comment

Design a site like this with WordPress.com
Get started